Tags


15 Wednesday May 2019
Posted creativivity, Uncategorized
inTags
13 Tuesday Sep 2016
Posted creativivity, Uncategorized
inTags
อ่านไม่เหมือนจากที่เขียนทั้งหมด
แต่ใจความมีอยู่แบบนี้
==============
ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวคุณมีความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ ความคิดสร้างสรรค์มันถูกบรรจุอยู่ในในุษย์ทุกคนตั้งแต่กำเนิด และพลังของความคิดสร้างสรรค์ก็เป็นพลังงานที่มีแรงกระเพื่อมสูงมาก การสร้างสรรค์ จึงเป็นภาษาจำเป็นที่จะเป็นที่จะช่วยให้การกระทำทุกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นๆ ในทุกๆวัน
และก็เช่นกัน ความคิดสร้างสรรค์ก็เหมือนกับ ธรรมชาติที่สอง ไม่ต่างกับ การหายใจและจังหวะเต้นของหัวใจคุณ ซึ่งมีอยู่ในตัวทุกคน
นักจิตวิทยาที่ชื่อ JP Guilford เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Divergent กะConvergent พูดง่ายๆก็คือ แยกออกกะรวมเข้าไป
การคิดแตกทางความคิด เป็นการเปิดความเป็นไปได้ให้มากที่สุด เป็นการแตกแขนง ขยายทุกอย่างออกไป ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ คุณต้องไม่ไปปิดหรือควบคุมเวลาที่คุณกำลังให้ความคิดนั้นทำงาน ในขณะที่
การคิดรวบรวม คือการตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป สนใจเพียงสิ่งที่เราเลือกที่เราเชื่อว่าจะพาเราไปเจอเป้าหมายได้จริงๆ เทคนิคที่สำคัญ อีกอย่างก็คือ คุณต้องรู้จักตัวเลือกคุณให้ดีและแน่ใจว่าคุณไม่ได้กำลังจะขว้างทิ้งไอเดียเงินล้านออกจากตัวเองไป
สิ่งที่ดีที่สุดของการคิดสร้างสรรค์คุณต้องมีทั้งสองส่วนนี้ แตกออกไปก่อน แล้วค่อยรวบเข้ามา
เพราะทั้งสองอย่างมันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน เหมือนหยินกับหยาง
ดังนั้นเมื่อคุณกำลังเลือดสูบฉีดกับไอเดียที่เข้ามา อย่าเพิ่งหยุด จงปล่อยให้มันไหลออกมาเรื่อยๆ ให้มันแตกแขนงจนครบรากของมันและจากนั้นคุณค่อยตัดกิ่งก้านไหนที่มันไม่เข้าที่เข้าทางออกเสีย คุณก็จะพบกับไอเดียที่ดีที่สุดที่คุณจะเอาไปใช้งาน
==================
12 Monday Sep 2016
Posted Fashion, Uncategorized
inและอาจจะสูญเสีย นักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษที่มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดไป
ชายคนนี้ชื่อ ท่านเซอร์ พอล สมิท (Sir Paul Smith)
………..
ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ เขาได้มีความตั้งใจที่จะเป็นนักจักรยานในระดับนักแข่งเลยทีเดียว
แต่อย่างที่ผมได้เขียนไว้ตอนต้น ก็เป็นโชคร้าย หรือโชคดีของเขาในเวลาต่อมา
เพราะอาการเจ็บหนักกร่วมครึ่งปี ทำให้เขาต้องหันเหมาสนใจในเรื่องศิลปะแทน
……….
หลังจากที่ต้องตัดสินใจหยุดชีวิตของการเป็นนักกีฬา
ในยุค60 ยุคสมัยที่คนทั้งโลกฟังดนตรี แบบ Rolling Stone mils davis และพูดคุยกันใน Bar
เขาก็ได้เริ่มตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางของชีวิต และเขาก็ได้เจอเพื่อนที่ชื่อ Pauline
นักศึกษาศิลปะ Royal college of art เขาได้คู่หูรู้ใจและกลายเป็นคู่ชีวิต ที่เหมือนกำลังสำคัญในการออกแบบแฟชั่นในเวลาต่อมา
ในที่สุด ชายที่ชื่อ Paul smith ก็ได้เปิดร้านของตัวเองในปี 1970 สาขาแรก
ในแนว British Fashion และเขากลายเป็น brand icon ด้านแฟชั่นในเวลาต่อมา
สิ่งที่โดดเด่นของเขา อย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือ
ลายที่เป็น “Definitive Strip” หรือลายทางหลากสี ถือเป็น design identity
ที่คนทั้งโลกสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ โดยเขาใช้สีมากทั้งหมดถึง 28 สี
ทั้งๆที่ จุดเด่นของเสื้อผ้าแบบ Paul smith ก็คือความเป็นอังกฤษ ตัดเย็บประณีต
และมีความเป็นผู้ดีแบบ classic อยู่ในแบรนด์ของเขาแต่ถ้าใครจะพูดถึง
แบรนด์นี้ ลายทางหลากสีต่างหากคือสิ่งที่ต้องจำ
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอีกอย่างก็คือ Shop ของ Paul smith ในแต่ละที่ไม่มีที่ไหนเหมือนกันเลย
ตึกแบบสีชมพูและตกแต่งแบบหนังฮอลีวู้ด อยู่ในสาขา LA จัดร้านแบบสวนญี่ปุ่นในสาขาที่ญี่ปุ่น ร้านในอังกฤษก็ออกไปอีกแนวนึงเช่นกัน
การเป็นนักออกแบบของ Paul Smith เองก็น่าสนใจอย่างยิ่ง เขาบอกว่า เขาสามารถออกแบบได้ทุกอย่าง
และสามารถคิดได้ตลอดเวลา
เขาเคยออกหนังสือเล่มนึงที่ชื่อ “You can find inspiration in everything”
ทุกวันนี้ สินค้าของ Paul smith มีมากถึง 14 ประเภท และมีสาขามากมายในทั่วโลกกว่า 66 ประเทศ
อานจักรยาน เขาก็ไม่พลาด
แม้กระทั่ง เสื้อทีมแมนยู เขาก็เคยออกแบบ
มาดูตำแหน่งของ brand หรือ brand positioning กันอีกสักนิด
ตำแหน่งแบรนด์ของ Paul smith ถ้าเทียบความเป็น Hi Fashion ก็ยังถือว่า ต่ำกว่า Burberry และ Armani แต่ถ้าสูงสุดและแพงสุดต้องยกให้กับ Comme des Garcons
ส่วน Brand Value ของ Paul Smith ถ้าแบ่งตาม Model ของ AAKER ก้เป็นแบบนี้
….
Brand as Product/British, Fashion ,Style Excitment ,High qaulity
Brand as Corporate/Global, luxury market, Colorful heritage,Experience
Brand as personality/Quirky Character,Upper class,Smart,Charming
Brand as Symbol/Strerotype of “Britishness”Strip,Playful,Unique style,Creative design
=======================================================
นี่คือความสุดยอดของผู้ชายที่ชื่อว่า Paul smith ที่เป็น Brand iCon ในโลก Fashion ของคนทั้งโลก
=================================================
source
http://www.paulsmith.co.uk/us-en/shop/company-history.html
mollymcgarry_/docs/r.nb_brandbook
04 Sunday Sep 2016
Posted brand, branding, Uncategorized
inTags
แบรนดิ้ง, brand, branding, business, creativity, digital, education, game, kids, knowledge, marketing, play, sony
Sony ถือว่าเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์
ที่มีอายุยาวนานและเป็นลำดับต้นๆของโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแบรนด์หนึ่ง
ผ่านทั้งความรุ่งเรืองและเกือบฟุบมากมายหลายครั้ง
วันนี้แบรนด์ Sony กำลังจะหลุดออกจากบัญชีขาดทุนและกำลังกลับไปสู่ผู้นำในโลกธุรกิจ
คำว่า Sony เป็นคำสมาสจากคำว่า Synus และ Sunny ที่แทนความหมายถึง
คนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลัง คำว่า Sony นั้นอ่านง่าย และจดจำง่ายกับคนทั้งโลก
ทำให้ชื่อของแบรนด์เหมาะอย่างยิ่งกับการเป็น Brand ในระดับสากล
เพราะความตั้งใจที่จะเป็นบริษัทที่ผลิตสิ่งที่สร้างสรรค์และประโยชน์ต่อผู้คน
ทำให้เดี๋ยวนี้คนไม่รู้ว่าจริงๆแล้วโซนี่เริ่มต้นจากการผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้ามาก่อน
หลังจากนั้นโซนี่ก็เริ่มคิดค้นเริ่มต้นผลิตวิทยุทรานซิสเตอร์เจ้าแรกของโลก
Sony เริ่มต้นจากความสำเร็จของ Walkman ในยุค 70 ที่ครองใจคนทั้งโลก
ไล่เรียงไปถึงกล้องถ่ายวิดีโอ เบตาแคม รวมถึงเกม Playstaytion ที่ถือเป็นนวัตกรรมสำหรับมนุษย์โลก
การเป็นแบรนด์ที่ต้องคิดของใหม่ๆนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะกรอบมันกว้างใหญ่ไพศาล
แต่ Sony กลับท้าทายยิ่งกว่านั้น เพราะธุรกิจที่ตัวเองเลือกจับนั้น มีความแตกต่างกันอยู่มากในแง่การบริหาร
จากบริษัทที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่ Sony กลับขยายตัวเองไปจนถึงบริษัทการเงิน รวมถึงสายบันเทิง
Sony นั้นทำธุรกิจหลากหลายและหลายส่วนของการทำธุรกิจของ Sony ก็เจอกับคู่แข่งขันที่แข็งแกร่งกว่า
ทำให้การดำเนินงานหลายส่วนเกิดภาวะขาดทุน รวมถึง เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซาลงจากค่าเงินเยินที่แข็ง
ทำให้การแข่งขันของโซนี่ยิ่งต้องยากขึ้นหลายเท่าตัว
สินค้าที่ Sony เคยเป็นเจ้าตลาด อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เมื่อมาเจอกับคู่แข่งอย่าง Sumsung และแบรนด์จากจีน
ทำให้จึงไม่สามารถทำราคาแข่งขันได้ รวมไปถึงสินค้า IT อย่าง Vaio หรือ Xperia ในตลาดที่เป็น Mass
ในขณะที่ Sony ยังเอาตัวได้ในธุรกิจเพลงและภาพยนตร์ จึงทำให้ แบรนด์ของ Sony นั้นยังอยู่ในตลาดโลกอย่างไม่
เพลี่ยงพล้ำจนเกินไป
หลังจากที่หลงทางไปสักพัก การปรับกลยุทธ์ของ Sony ก็เริ่มมีแนวทางขึ้น
Sony ได้พียง 3 ธุรกิจหลัก เปลี่ยน Brand positioning ขึ้นไปจับ เทคโนโลยี่ระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น 4 K สำหรับสายอิเลคทรอนิค
รวมไปถึง การที่ ขาย Vaio ทิ้งและ เหลือ Xperia ไว้เพียงตลาดกลุ่มบน แต่ยังคงเก็บธุรกิจบันเทิง
และธุรกิจเกมที่ยังสร้างรายได้ให้ Sony มาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อตัดทิ้งส่วนที่เป็นขาดทุน ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายลดลง และสิ่งที่ Sony เลือกแนวทางนั้นที่ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
ทำให้บริษัทฟื้นตัวมีกำไรหลังจากขาดทุนมากว่า 8 ปี
Edgy brand หรือแบรนด์หัวก้าวหน้าอย่าง Sony นั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ด้วยบุคลิกความเป็นนักคิดสร้างสรรค์
และเมื่อขึ้นไปเล่นกับเทคโนโลยี่ขั้นสูงอย่าง 4 K ทำให้ราคาสินค้าของ Sony อยู่ในระดับ Premium brand เป็นหลัก
แต่ตำแหน่งนี้จะคงอยู่ได้ การวางกลยุทธ์ในระยะยาวจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องสอดคล้องกับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของ Sony
เพราะด้วยชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ของโลกถูกยอมรับมานานแล้ว
แต่ Sony จะทำให้ชื่อเสียงเหล่านั้นพัฒนาต่อและถูกเชื่อถือต่อไปอย่างไรมากกว่า นั่นคือสิ่งที่ควรทำ
เราจะเห็น research ของ Sony ได้พูดถึงแนวคิดคำว่า N หรือ natural ที่จะให้ทั้ง มือและสายตาของผู้ใช้มีอิสระต่อ
เครื่องมือใช้งานและเป็นธรรมชาติที่สุด ทำให้การออกแบบและการใช้งานของผลิตภัณฑ์ Sony นั้นจะยิ่งสะดวกมากขึ้น
concept T ที่หมายถึง Touch ไม่ว่าคุณจะแตะไปที่ตรงไหน ผลิตภัณฑ์จะสามารถตอบโต้ หรือ interactive
ได้ เทคโนโลยี่แบบ Ai กำลังจะกลายเป็นแนวทางหลักต่อไปในอนาคตของบริษัท
แต่ Sony เริ่มมองหาแนวทางใหม่ โดยเริ่มต้นจากการเข้าไปที่ตลาดการศึกษา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราจะเห็น Sony ในบทบาทใหม่
แนวคิดแบบสร้าง Tinkering ให้กับโลกโดยเริ่มต้นจากกลุ่มเด็กจึงเป็นตลาดที่สัมพันธ์กับธุรกิจเกมไม่น้อย
การถอดรหัสจากคำว่า Play แต่เพิ่มเติม เรื่องของกระบวนการเรียนรู้ ที่ Sony ดัดแปลงจาก
STEM โดยมีคำย่อมาจาก Science Technology Engineering และ Mathematics ซึ่ง STEM นี้ถือว่า
กำลังเป็นที่นิยมในอเมริกา
Sony เองก็ได้ต่อยอด STEM โดยปรับให้ประกอบไปด้วยแนวคิดสามสิ่งคือThink Make Feel
เพราะ Sony รู้แล้วว่าถ้าเขาจะปลูกเมล็ดพันธ์แบรนด์ที่มีบุคลิกสร้างสรรค์เช่นเขา
การที่เริ่มต้นกับกลุ่มเป้าหมายเช่นเด็ก จึงเป็นเรื่องที่ถูกจริตมากที่สุด
และยิ่งสามารถสร้างสะพานต่อเชื่อมกับธุรกิจอย่าง Playstation ซึ่งเป็น node หลักของตัวเองแล้ว
โอกาสที่จะสร้างกำไรในระยะยาวจึงมีโอกาสสูงมาก
สิ่งที่ถือเป็น Hilight ของ Sony ต่อไปในอนาคตน่าจะเป็น เทคโนโลยี่ ชื่อ KOOV ที่เป็นบลอคใสต่อได้ไม่ต่างจากเลโก้
พูดง่ายๆคือ คุณอยากต่อให้เป็นอะไรก้ได้ ไม่ว่า ตึก หุ่นยนตร์ รถ กีตาร์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์
และที่เจ๋งกว่านั้น KOOV มีเทคโนโลยี่ที่รองรับสามารถจะทำให้มันใช้งานได้จริงๆ
Sony บอกว่าโลกของการศึกษานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะด้วยการเรียนรู้จาก Koov
จะช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ปัญหาจากความไม่รู้ของมนุษย์ที่มีต่อสังคมได้อีกเป็นหลายๆร้อยเรื่อง
KOOV ออกแบบมาทั้งส่วนที่เป็น Hardware และ Software ไม่ว่าจะเป็น ทั้ง Web บริการ และ ส่วนประกอบชิ้นส่วนที่หลากหลาย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณจะไม่สามารถหาได้จากแบรนด์อื่นเลย
โซนี่ออกแบบเป็น บลอคชิ้นเล็กโปร่งใสซึ่งมีอยู่ 7 ชนิด และทั้ง 7 แบบคุณสามารถนำเอามันมาต่อเป็นรูปร่าง สีอะไร
ก็ได้ตามใจนึกของคุณ ด้วยวิธีการแบบนี้คุณจะได้เรียนวิธีการออกแบบก่อนที่คุณจะไปใช้คอมพิวเตอร์
คุณก็เรียนรู้จากเครื่องมือเหล่านี้ได้ และสิ่งทีสำคัญจาก block based ชุดหุ่นยนต์นี้คือ
เราได้รู้และได้คิดไปพร้อมกับในการเล่นและจับสิ่งของเหล่านี้ ซึ่ง KOOV ถึงว่า
เป็นประสบการณ์สำคัญในการคิด หรือ เขาเรียกคำนี้ว่า Tinkering
และ KOOV ก็ยังให้โอกาสให้คนได้คิดบางอย่างที่แตกต่างออกไปจาก Block และชิ้นส่วนที่ให้มา
ซึ่งถือว่าทุกคนจะได้พัฒนาความคิดของตนเองอย่างส่วนตัวอย่างแท้จริงต่อ คนยุคใหม่
จากแนวคิดหลักของ KOOV ที่บอกว่ามีสามแนวคิดหลักคือ
Think นั้นเป็นการออกแบบสำหรับ Arithmetic หรือคณิตศาสตร์
Make นั้น ออกแบบสำหรับ Robot หรือหุ่นยนตร์ ส่วน Feel นั้น ออกแบบสำหรับ Science หรือวิทยาศาสตร์
ซึ่งระบบนี้ทำให้ Sony สร้างระบบcurriculumใหม่ ที่รวมทุกประเภทความรู้และข้อมูลระดับโลกไว้
แต่จะกว้างไกลและครอบคลุมได้ขนาดไหน เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์
แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านบวก
แรงปรารถนาที่จะให้เครื่องมือที่จะปลูกฝังการศึกษาในระบบส่วนตัวให้กับกลุ่มเป้าหมายเด็ก
KOOV จะกลายเป็นพระเอกของ Generation รุ่นต่อไปที่สร้างนักสร้างสรรค์ระดับโลก หากทำได้
Sony ตั้งใจที่จะทำตลาด Education ทั้งโลกอยู่แล้ว และสิ่งที่ Sony มีเหนือกว่า Player ในตลาด Education ก้คือ
เทคโนโลยี่ขั้นสูง ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ และเป็นจุดที่จะทำให้คู่แข่งทั้งหลายต้องปรับตัว
ดังนั้น คนที่เคยคิดว่า Sony จะเป็นเพียง แบรนด์ที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเพลงและภาพยนตร์ หรือแม้แต่ผลิตเกมนั้น
ต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว Sony จะเรียกตัวเองว่าเขาเป็นผู้ผลิต Innovation
และเป็นการสร้างให้เกิด คนที่เป็น Innovator เป็นล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก
นั่นคือสิ่งที่ Sony ตั้งใจจะทำในอนาคต และสาวกของ Sony จะหยั่งรากลึกลงตั้งแต่เด็กน้อยเลยทีเดียว
ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
source:
http://www.businessinsider.com/heres-sonys-new-business-strategy-2015-2
https://www.aabacosmallbusiness.com/advisor/sony-marketing-strategy-greatness-awaits-103029262.html
http://www.sony.co.th/article/222357/section/sonysstory
10 Sunday Jul 2016
Posted brand, Uncategorized
inTags
ในเรื่องของการคิดอย่างสร้างสรรค์
การไม่พยายามเป็นคนอื่นเรื่องสำคัญมากๆ
ผมเคยมีประสบการณ์ในการที่ต้องสอน นักแต่งเพลง
ไม่ไปก๊อบแนวทางคนอื่น แน่นอน ในตอนเริ่มต้น เขาก็จำเป็นต้องศึกษาวิธีการชาวบ้าน
มีนักเขียนคนนึงที่ผมชอบมาก ชื่อ Rod Judkinds แกเป็น ศิลปนวาดรูปแล้วก็เป็นครูสอนด้วย
หลังๆแกเขียนหนังสือที่ชื่อว่า The art of creative thinking ซึ่งมีเรื่องที่แกเขียน ตอนที่ชื่อว่า
don’t be someone else ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่กำลังจะฝึกการคิดเป็นอย่างยิ่ง
อันนี้ผมแปลและเพิ่มเติมความคิดผมลงไปด้วยนะครับ อาจจะไม่ค่อยตรงจากต้นฉบับนัก
—————————————————
เรื่องราวที่น่าสนใจของ Designer ที่ชื่อ โคโค่ แชแนล Coco Chanel
ในสมัยที่เธอเริ่มต้นอาชีพ โคโค่มีความไม่ชอบ แนวทาง
ที่ผู้หญิงในสมัยนั้นแต่งตัวที่ต้องรุ่มร่าม และซึ่งจะต้องใส่คอร์เซต เพื่อให้เอวเล็ก
และชุดแบบจัดเต็ม ทำให้ค่อนข้างยุ่งยากและเสียเวลามาก
ดังนั้น เธอจึงได้ออกแบบชุดหรูหราของผู้หญิงที่ใส่ง่ายและดูสะดวกสบายขึ้น
ในความหมายของการแต่งตัวที่ โคโค่ได้ พูดถึงนั้นก็คือ
ความคิดเธอนั้น ตรงใจกับความเป็นผู้หญิงสมัยนั้น หลายคน
แต่ไม่มีใครคิดทำมาก่อน และชุดที่เธอคิดออกแบบ ก็แตกต่างจากคนเขาใส่กันตอนนั้น
ในขณะนั้นเธอถูกโจมตีจากสื่ออย่างรุนแรง
ชุดที่โคโค่ออกแบบนั้นแตกต่างจากชุดคอร์เสตอย่างสิ้นเชิงก็คือ ชุดเรียบสีดำ
ที่ดูเรียบง่ายสบาย ในตอนแรกผู้คนต่างพากันหัวเราะชุดที่เธอใส่
แต่ภายหลังจากนั้น ชุดที่เธอใส่กลายเป็นดีไซน์ที่คลาสสิคชุดนึงในยุคนั้นจนมาถึงปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นคนทั่วไป เรื่องนี้อาจจะจบลงตั้งแต่ ตอนที่ผู้คนหัวเราะ
ชีวิตของผู้หญิงของลำบากบนน่นดู 😀
เคล็ดลับความสำเร็จของเรื่องนี้ มีเพียงอย่างเดียวแต่สำคัญมากๆ ก็คือ ความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง
โคโค่ ชาแนล กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ด้วยสิ่งที่เธอ รู้สึก นึกคิด และเธอก็แสดงให้ทุกคนเห็นด้วยตัวเอง
ทุกๆคนพยายามมองหาความเป็นตัวตนของเอง เป็นต้นแบบ แต่ที่น่าตลกก็คือ
……
มนุษย์ที่รักในเรื่องความคิดสร้างสรรค์เขาจะสามารถมองผ่านเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
สิ่งเหล่านี้คุณสามารถเริ่มต้นจากการที่เริ่มรู้จักตัวเอง
ถามตัวเอง อะไรคือความคิดที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ
แล้วความคิดแบบนั้นมันมาได้อย่างไร คุณอยู่ในสภาพ สภาวะแบบไหน
สังเกต และเอาใจใส่ใน บุคลิกและความนึกคิดของเรา
เพราะนี่จะเป็นแบบฝึกหัดที่ดีที่สุดในการที่คุณจะเป็นต้นแบบของคุณเอง
มากกว่าที่จะเป็นเลียนแบบที่จะเป็นเหมือนใครที่ไม่ใช่คุณ
การเป็นตัวเองถ้าคุณเจอแล้วมันง่ายและสบายครับ
หาตัวเองให้เจอดีกว่านะครับ แล้วคุณจะพบว่า จะมีคนที่เขาอยากมาเป็นเหมือนคุณอีกเยอะเลย
29 Friday Jan 2016
Posted creativivity, Uncategorized
inTags
ผมมีหลักง่ายๆให้คุณลองนำไปใช้สำหรับการถ่ายรูปให้มี ครีเอทีฟมากขึ้น
1.เรียนรู้จากการดูภาพที่ดีดี ให้ความคิดสร้างสรรค์ การดูรูป หลายๆแบบ จากแหล่งภาพที่ดีๆจะทๆให้คุณมีไอเดยที่มากขึ้น ยอมสละเวลาสัก 10-20 นาที เพื่อดูแล้วจดจำภาพเหล่านั้น
2.ถ่ายรูปจากสิ่งที่คุณรัก ไม่ว่าจเป็นรูปคน รูปทิวทรรศน์ อาหาร ท่องเที่ยว หรือคนที่คุณรัก จงเริ่มต้นถ่ายจากสิ่งทีคุณรัก
3.รู้จักจัดองค์ประกอบของรูป การถ่ายรูปก็เหมือนการจัดบ้าน คุณต้องลองจินตนาการง่ายๆว่า คุณจะจัดวางสิ่งต่างๆที่อยู่ในรูปของคุณให้มีอะไรบ้าง เก้าอี้ จะอยู้ด้านซ้าย คน อยู่ตรงกลาง ขวามือควรจะมีอะไรให้ สมส่วนหรือไม่ อย่างนี้อเป็นต้น
4.ใช้แสงให้เป็นเครื่องที่ส่งเสริม ตามหลักง่ายๆของการถ่ายรูปนั้น ต้นกำเนิดแสงคือจุดเริ่มต้น ดังนั้น คุณควรจะลองสังเกตุที่มาของแสงในรูปว่ามาจากที่ไหน ดังนั้น ยิ่งคุณเริ่มจับแสงได และสามารถนำแสงจากแหล่งต่างๆมาช่วยให้รูมีความคมชัดหรือแตกต่าง คุณจะเริ่มมีรูปที่สร้างสรรค์มากขึ้น
5.น้อยคือมาก อย่าพยายามยัดอะไรลงไปในรูปของคุณมากเกินความจำเป็น หาช่องว่างให้รูปเสียบ้าง แล้วรูปคุณจะน่ามองขึ้น
6.ความเบลอ คือ เสน่ห์ การถ่ายรูป มีทั้งชัดและเบลอ คุณต้องรู้จักใช้มันให้เป็น ดังนั้น รูปที่ชัดไม่ได้บ่งบอกถึงความสวยงามเพียงอย่างเดียว รู้จักใช้ shutter speed และลองเล่นกับมันในหลายๆ mode คุณจะเริ่มมีมิติมากขึ้น
ลองไปหัดกันดูนะครัช หวังว่าจะทำให้ถ่ายรูปกันเก่งขึ้น
ถอดความและเรียบเรียงใหม่จาก
รูปจาก
12 Saturday Dec 2015
Posted Uncategorized
inหายไปนาน เพราะยุ่งวุ่นวายกับคอร์สเรื่อง Branding DIY ที่อยากทำมานาน จนแทบไม่ได้เขียนบล๊อค บังเอิญเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญของการสร้างแบรนด์เสีนด้วยจึงขอนิยามออกมาจากความคิดตัวเอง
ความคิดสร้างสรรค์ (creativity)
ส่วนตัวผมเป็นคนชื่นชอบคำนี้ตั้งแต่เด็กๆ ผมว่าหลายคนก็ชอบคำนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราจะได้เจอสิ่งใหม่ๆ ได้ตื่นเต้นและมีความท้าทาย
พอผมโตขึ้นมา เรียนหนังสือ จนกระทั่งทำงาน
คำๆนี้เริ่มออกห่างตัวผมไปตามกาลเวลา แต่ผมไม่ยอมและพยายามเรียกเคาะประตูเพื่อให้คำๆนี้ อยู่กับผม และในที่สุด ผมก็ได้ทำงานโดยการใช้คำว่า ความคิดสร้างสรรค์ มาโดยตลอด
ในความหมายของผม ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้อยู่เพียงแค่เรื่องที่เราต้องสร้างสิ่งใหม่ๆ บางที มันก้เป็นเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องที่เรามี หรือเติมลงไปในระบบบางอย่างให้ดีขึ้น อย่างในตอนที่ผมต้องไปทำงานเพลง ผมใช้มันเต็มที่ตั้งแต่การเขียนเรื่องราว การหา Sound ต่างๆ การออกแบบเพลง รวมไปถึงการหา Character ให้กับศิลปิน
ผมค่อนข้างจะมีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อมกับยีนที่ชื่อว่า ครีเอทีฟ ดังนั้น ทุกคนสามารถฝึกฝนให้ตัวเองเป็นคนคิดครีเอทีฟได้ ถ้ารู้วิธี และเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไร
สิ่งแรกที่ผมอยากจะบอก และเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดเลย ก็คือ คุณต้องรักมันเสียก่อน คุณต้องรักในสิ่งๆนั้น และทำมันด้วยความรัก เพราะความรักจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะนำพาให้คุณเกิด ความคิดส้างสรรค์
และเมื่อคุณรักในสิ่งนั้นจริงๆแล้ว ทีนี้มาลองทำความเข้าใจสภาวะของการเกิด ความคิดสร้างสรรค์กันสักนิด
“ความคิดดีดี มักจะมาตอนเราเผลอ เหมือนกับโจรแล้วเราก็เป็นเหมือนกับตำรวจบางประเทศที่ไม่เคยวิ่งจับมันได้ทันสักที”
ครีเอทีฟวิตี้ มันมักจะเป็นแบบนี้ มาตอนที่เราไม่รู้ตัว อย่างผมและเชื่อว่าอีกหลายคนเป็น ความดิดดีดีหลายครั้งจะมาตอน ครึ่งหลับครึ่งตื่น ในห้องน้ำ หรือ เวลาที่ขับรถ
ทำไมจึงเป็นแบนั้น?
เพราะจิตของเรามันอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าถูกปลดปล่อยไงครับ เราไม่ได้ไปบังคับมัน ไปจดจ่อ และเมื่อเราปลดปล่อยให้จิตและความคิดได้เป็นอิสระ มันก้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
ผมจึงอยากจะเรียกนิยามของขบวนการในการทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ว่า
ปล่อยความคิดและจิตให้อิสระ และมันจะมาเอง
แต่สิ่งที่สำคัญต่อไปก็คือ กระบวนการสั่งสมข้อมูล
สมองของเราทำงานด้วยการประเมินผล ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์รุ่นเยี่ยมๆ ดังนั้น ถ้าสมองคุณได้รับการสั่งสมข้อมูล โดยเฉพาะการสั่งสมแบบธรรมชาติ ก็คือ ได้อ่าน ได้เห็น ได้รู้ อย่างเป็นระเบียบ ขั้นตอน ในวันที่จิตและความคิดคุณทำงาน มันจะไปดึง สิ่งที่คุณสั่งสมออกมาและกลั่นกรองให้คุณเอง ให้คุณนึกถึง เหมือนกระบวนการสั่งอาหารในร้าน ที่เมื่อปากคุณออกคำสั่ง บ๋อยหรือจิตก็ทำการจดออเด้อร์นั้น และสมองก็ไม่ต่างจากพ่อครัวที่ไปเอาวัตถุดิบในครัวออกมาปรุง และ ความคิด จิต หรือบ๋อยก็นำเอา อาหารที่คุณได้สั่งไว้ออกมาเสิรฟให้คุณกิน
แต่อาหารนั้น จะเร็ว จะช้า อร่อย ไม่อร่อย ก็อยู่ที่การสั่งสมวัตถุดิบ และการฝึกปรือของพ่อครัว ว่าทำบ่อยและคุ้นเคยแค่ไหน
และขบวนการสุดท้ายที่จะอยู่คู่กับ ความคิดสร้างสรรค์คือ การบ่มเพาะ ซึ่งผมขอเรียกมันว่า การต้มไข่ หมายความว่า ไข่จะสุก มันจะมีเวลาของมัน
คุณ ต้องให้เวลากับการ การต้มไข่ของคุณ หรือการ บ่มเพาะให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
คุณอยากได้ไข่ลวก คุณต้ม 5 นาที อยากได้ ไข่ยางมะตูม คุณต้ม 7 นาที แต่ถ้าคุณอยากได้ ไข่ต้มสุก คุณต้องต้ม 10 นาที ฉันใดก็ฉันนั้น
ถ้าเขียนเป็นขั้นตอน ก็จะได้ดังนี้
1. ต้องรักในสิ่งที่จะคิด จะทำเสียก่อน
2. เก็บข้อมูล อ่านดูฟัง ให้มากพอ มากพอแค่ไหนนั้นคิดอยู่กับเวลา และความจุสมองของคุณเปิดพื้นที่ให้แค่ไหน(ใจที่เปิดจะช่วยเปิดสมองให้คุณ)
3. ปล่อยความคิดในระหว่างนั้น ให้เป็นอิสระ ไม่ต้องกำหนดว่าฉันต้องได้ไอ้นั่นไอ้นี่ (มันจะไม่มีทางได้ดีถ้าคุณไปบังคับมัน) และเริ่มต้น เขียน เขียน เขียน แบบที่คุณไม่ต้องบังคับ เขียนอะไรก็ได้ หรือจะอัดสิ่งที่คุณพูด คุณจำมา คุณรู้สึกมาไปเรื่อยๆ
4. หาคนที่คุณจะโยนความคิดหรือไอเดียได้ Brainstorm
5. เวลาที่เหมาะสมเท่านั้น จะทำให้คุณเกิดความคิดที่เจ๋งๆ ออกมา แต่เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและสะสม สำหรับคนที่ไม่เคยทำเลยก็อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าคุณฝึกให้คุณชิน โดยลองแบ่งเวลาให้ตัวเองสักวันละ 1 ชั่วโมง อ่าน ดู ฟัง เรื่องที่คุณชอบ และก็ฝึกเขียน คิด พูด และ ระบาย จนถึงเวลาอันเหมาะสม (ซึ่งเวลาของการสั่งสมจะมีขั้นบันไดของมัน)และคุณจะทำสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน
6. ถ้ายังไม่ได้ แนะนำให้กลับไปเริ่มต้นทำตั้งแต่ข้อแรกเสียใหม่ ใจเย็นลงอีก ใช้เวลากับการทำสิ่งต่างๆเหล่านี้อย่างไม่บังคับตัวเอง
11 Saturday Apr 2015
Tags
การศึกษา, ความรู้, สถาบัน, creativity, education, improvement, knowledge, self, thoughtful
วันนี้ มีน้องที่ทำงานพูดว่า
“พี่นี่ดีจัง จบอีกอย่าง มาทำงานอีกอย่างได้ด้วย ไม่น่าเชื่อ”
อยากบอกน้องมากๆเลย
ว่า..ผมไม่เคยเชื่อเรื่องระบบการศึกษาหรอก
ถึงแม้ตัวเองจะผ่านการเรียนในระบบมา
มันก็เป็นเพียงกรมธรรธ์ประกันภัยให้พ่อแม่ไม่ด่า
ทุกอย่างที่ทำมา หาจากข้างนอกทั้งนั้น ที่มหาลัยฯมันไม่มีแบบที่ทำอยู่
สิ่งที่ได้จากการใช้เวลาในระบบการศึกษาไทย ของผมมีอย่างเดียว คือ เพื่อน
ก่อนจะจบปีสี่ คิดว่า ตอนนั้นตัวเองมีเพื่อนทุกคณะ และเกือบทุกมหาลัย
เพราะทำกิจกรรมตลอด เข้าเรียนน้อยมาก มาสอบอย่างเดียว
จำได้ว่า โดน อาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับพูดว่า อย่างเธอจบไปจะมีปัญญาไปทำอะไร
เมื่อไม่เชื่อในระบบ ก็ไม่ยึดติดสถาบันการศึกษา
จนเวลาได้พิสูจน์ว่า เราไปได้กับงาน มีคนยอมรับ
เมื่อถึงเวลาต้องรับคนมาทำงานด้วย
ไม่เคยเกี่ยงว่าใครจบออะไร ขอแค่ทัศนคติและหัวใจ
แต่หลายครั้ง ความไม่เอาไหนของคนบางคน
ก็จะทำให้เราอดคิดถึง สถาบันที่สั่งสอนเขามา
โดยเฉพาะเรื่องของ สปิริต และสภาพแวดล้อม
มันมีผลต่อการหล่อหลอมเด็ก มากกว่าความรู้
อยากบอกว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่บ้าสถาบันประเทศนึงในโลก
เที่ยวถามคนนั้นจบที่ไหน ปริญญาอะไร U ไหน
ผมเห็นเพื่อนฝรั่งหลายคน จบมัธยม แล้วก็ทำงานเพื่อหาตัวเองหลายปี
ประสบความสำเร็จแล้ว บางคนก็ค่อยไปเรียนด้วยซ้ำ
street smart หลายคนนั้นฉลาดกว่า book smart นัก
อย่ายึดติดนักเลยครับ ประเทศมีแต่คนจบด๊อคเต้อร์ที่โง่ๆเต็มไปหมดแล้ว
แต่กลับขาดนักวิชาชีพดีดีที่เขาควรเป็นเรียนโรงเรียนฝึกอาชีพให้เก่งเฉพาะด้าน
เพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศให้แข็งแกร่ง
สุดท้าย
อยากเห็นน้องๆ กล้าคิด กล้าทำ ไม่ต้องกลัวว่าเรียนจบไม่ตรงสายมา
เดี๋ยวจะทำงานไม่ได้ เขาคงไม่รับ
ผมจะเป็นคนนึง ที่ให้โอกาสคุณ ต่อให้คุณไม่จบก็ตาม
ขอให้คุณมี ทัศนคติที่ดี และไม่กลัวงานหนัก กล้าเรียนรู้
อันนั้นมันสำคัญกว่านะ ผมว่า