• About

brandchatz

~ World changing by branded

brandchatz

Tag Archives: brand

8 ข้อคิดในการไปต่อของแบรนด์เล็กปี 2019

11 Monday Mar 2019

Posted by brandchatz in branding2019, brandingdiy, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

brand, branding, branding2019, brandmanagement, brandplan

brandchatz.001

ปัญหาส่วนใหญ่ของกิจการเริ่มต้นที่มักจะเจอเสมอๆ ที่ทำให้แบรนด์มักจะเดินต่อลำบาก

นี่คือ 8 ข้อสรุปที่ผมได้รวบรวมมาได้ในช่วงที่ผ่านมาของ แบรนด์เริ่มต้นช่วงปี 2019

1.ความชัดเจนในสินค้าหรือบริการ ถ้าโปรดักส์หรือสินค้าที่เจ้าของทำ มักจะคิดเอาจากตัวเจ้าของและทีมงาน ว่ามันดี มันเจ๋ง แต่ไม่ค่อยจะเอาไปทดสอบกับกลุ่มลูกค้าที่แท้จริง

2.การวางแผนสำหรับการตัดสินใจในแต่ละลำดับ การทำแบรนด์เพื่อให้ติดตลาด มีการซื้อซ้ำนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนในเรื่อง การตลาด การสำรองเงินที่จะใช้ทั้งการผลิตสินค้า ยิ่งที่คุณอยากขยาย อยากโต การทำสินค้าในจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้ทุน แต่จะใช้ขนาดไหน หน่วยจำนวนการผลิตที่สอดคล้องกับเป้าขาย และรวมถึงการทำการตลาดจะต้องสัมพันธ์กัน เรื่องนี้คือจุดนึงที่หลายคนมักจะติด และตัดสินใจพลาด

3.การวางแผนการตลาด ในโลกความเป็นจริง ไม่มีแผนการตลาดแผนเดียวแล้วเข้าเป้า การทำทำการตลาดต้องมีทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ รวมถึงคำว่ากัดไม่ปล่อย สิ่งที่สำคัญคือต้องหมั่นสังเกตุพฤติกรรมลูกค้า ตั้งแต่ ก่อนซื้อ จนไปถึงซื้อแล้ว สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือสร้างสินค้าที่ดีมากพอจนเขาอยากเอาไปบอกต่อ ต้องไปให้ถึงจุดนั้น

4.จุดที่แตกต่างจนกลายเป็นจุดเด่น บางครั้งไม่ต้องต่างไปจากคู่แข่งมากไปก็ได้ แต่เอาที่มากพอที่จะเรียกร้องความสนใจและแก้ปัญหาบางอย่างได้ก็พอ  สำคัญ คือ ต่างแล้วลูกค้าต้องชอบ หรือการเพิ่มฟีเจ้อร์ที่ดีกว่าเดิม แค่นี้ก็ทำให้แบรนด์น่าสนใจแล้ว

5.เรื่องการเงิน เป็นเรื่องที่ต้องวางแผนในการจัดการ สิ่งที่ดีที่สุดก่อนเริ่มกิจการคือ คำนวณค่าใช้จ่ายของแต่ละเดือนให้พอ แล้วเตรียมเงินไว้สำรอง อย่างน้อย 6 เดือนถึง 12 เดือน สำหรับหลายๆบริษัทอยู่ในภาวะที่ต้องหมุนเดือนชนเดือน ดังนั้น การสะสมเงินสดจึงมีความสำคัญมาก สิ่งที่มักจะเจอก็คือ การใช้เงินแบบไม่คิดซึ่งจะทำให้บริษัทในขาดสภาพคล่องทันที คาถาแรกของคุณที่ต้องท่องคือ อย่าใช้จ่าย ถ้าไม่จำเป็น จนกว่าจะเก็บเงินสำรองได้มากพอถึง 6 เดือนอย่างน้อย

6.การทำชิ้นงานในการใช้เพื่อสื่อสาร ถ้าคุณมีแค่ Fb และ Line ต่อการใช้สื่อสารแบรนด์ ทั้งเล่าเรื่องและขายของ ขอให้คิดว่าทำอย่างไรให้แบรนด์มีชีวิต ไม่สะเปะสะปะ และใช้จุดเด่นของเรามาเล่าให้เหมือนกับเล่าเรื่องคนๆนึง การย้ำบ่อยๆถึงการมีจุดเด่นเรื่องอะไร และความประทับใจของผู้ซื้อจะเป็นพลังอย่างมาก  และการซื้อ ADs ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น สมมุตว่าคุณตั้งงบไว้ วันละ 1,000 บาท คุณต้องจัดคอนเท้น ก็คือ รูปและคำให้ดี ตรงกลุ่มหรือไม่ และน่าสนใจพอหรือยัง ทุกการยิงแอดควรจะต้องเอามาคำนวณถึงการลงทุนในการขายว่าได้กลับมากี่ % เพื่อการพัฒนาการสื่อสารในการขายของแบรนด์ต่อไป

มีหลายๆครั้ง ที่แอดบางตัว เปลี่ยนแค่คำบางคำ สามารถทำให้เกิดการขายได้ ดังนั้น คุณต้องสังเกตุ ชิ้นงานแอดคุณให้ดี

7.การใช้ Platform ประเภท Shopee หรือ Lazada มีผลสำคัญต่อการขยายในการทำการตลาดทั้งสิ้น บางสินค้าเหมาะกับบางร้าน แต่บางอันไม่ คุณต้องดูโปรโมชั่นให้ดี แต่ส่วนตัวผมว่าถ้าของคุณไม่เยอะไป Shoppe คือตัวเลือกที่น่าสนใจ

8.สำหรับตลาด B2B หรือแบรนด์ที่ต้องขายในลักษณะของ Corporate ผมยังสนับสนุนการทำ Website แบบที่ต้องมี SEO หรือ Google Ads โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการความน่าเชื่อถือจะสามารถสร้างลูกค้าได้ดีกว่า

หลัง 24 มีนา เรามาว่ากันใหม่ ว่าบ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร แต่ออนไลน์ผมว่าเติบโต

ปีใหม่จีน แบรนด์จีนกำลังไประดับโลก

04 Monday Feb 2019

Posted by brandchatz in branding, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

brand, branding, chinesebrand, global, technology

Fashion-brand-China.jpgมีคนจีนคนนึงที่ผมรู้จัก เขาบอกว่า

“อย่าไปสนใจเวลาใครเขามาเลียนแบบคุณ

ให้ระวังในวันที่เขาไม่ลอกเลียนแบบคุณดีกว่า“

.

วันนี้ คนจีน สลัดจากการเป็นผู้ลอกเลียน กลายเป็นผู้นำในเรื่องแบรนด์แล้วมากมาย

.

แบรนด์อย่าง Alibaba  Huawei หรือ อย่าง Lenovo กำลังจะเข้ามาเบียดกับแบรนด์ที่เราคุ้นเคยของฝรั่งทั้งสิ้น

.brandz-china-list.png

สิ่งที่สำคัญในการสร้างแบรนด์จีน ก็คือนวัตกรรมเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งจากการเติบโตของแบรนด์จีน

และการมีปัจจัยทางนวัตกรรมมากที่สุดในหมู่ผู้บริโภคที่มีอายุระหว่าง 18 – 34 ปี

.

เขาว่ากันว่า ในปี 2020 จีนจะมี โปรแกรมเม่อร์ จำนวน 10 ล้านคน เพื่อ พัฒนาวงการอุตสาหกรรม

และแข่งขันกับโลกไม่ต้องห่วงว่า

.

จีนวันนั้นจะล้ำหน้าไปไกลแค่ไหน

.

สื่อดิจิตอล (43%) และจอแสดงผลในร้าน (22%) เป็นสื่อที่สำคัญที่สุดที่ใช้กระตุ้นการรับรู้แบรนด์จีนในหมู่ผู้บริโภคต่างประเทศ

.

ช่องว่างระหว่างปริมาณการค้นหาแบรนด์ต่างประเทศและจีนลดลง 29% ตามข้อมูลดัชนีการค้นหาของ Google

.

ผู้สร้างแบรนด์ระดับโลกของจีนมองว่าตนเองมีการพูดถึงมากขึ้น ขึ้นช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างแบรนด์จีนในต่างประเทศอีกด้วย

.

แบรนด์ที่เป็นของรัฐจีนได้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างกว้างขวางสำหรับความคิดริเริ่ม ‘Belt and Road’ ธนาคารสายการบินและอุตสาหกรรมการผลิตอย่างหนัก

ของจีนกำลังวางนโยบายการต่างประเทศที่สูงลิ่วของจีนไว้อย่างเต็มที่

.

.

เพียงสองปีหลังจากผู้ซื้อออนไลน์ของจีนประสบความสำเร็จเป็นมูลค่า 1,000 ล้านล้านเหรียญสหรัฐพวกเขากำลังใช้เงิน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 ตามข้อมูลใหม่จาก Emarketer

.

นั่นเทียบเท่ากับผู้ใช้เว็บ 802 ล้านคนของจีนที่ใช้จ่าย 2,494 ดอลลาร์สหรัฐกับร้านค้าออนไลน์ในประเทศ

.

สะพรึงไหมละนั่น

.

สำหรับ ความท้าทายของจีนซึ่งมีนักวิเคราะห์จีน ที่ชื่อ  Doreen Wang อธิบายว่า

.

แม้ว่าการรับรู้เชิงลบของแบรนด์จีนบางยี่ห้ออาจยังคงอยู่ในหมู่ผู้บริโภครุ่นเก่า แต่ทัศนคติของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไป

ผู้บริโภคอายุน้อยหันมาใช้แบรนด์เช่น Lenovo, Alibaba และ JD.com มากขึ้นทุกวัน

.

เพราะพวกเขามีความรักในผลิตภัณฑ์และบริการที่ยอดเยี่ยมและราคาไม่แพงโดยไม่คำนึงถึงประเทศต้นกำเนิดของพวกเขา (ปัจจัยราคาคือตัวชนะเลิศ)

.

รายงานเน้นประเด็นสำคัญสามประการที่จะช่วยปรับปรุงการรับรู้แบรนด์จีนแบบนี้:

.

1. การรับรู้อย่าง จำกัด ในแง่ของการยอมรับทั่วโลกของแบรนด์ – ถือเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งที่จำเป็นต้องเอาชนะหากแบรนด์ต้อง

‘ไปทั่วโลก‘ การเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มเป้าหมายจะยังคงเป็นความสำคัญสูงสุด

.

2. การรับรู้ถึงความเชื่อมั่นยังคงต้องมีการปรับปรุง – ในขณะที่ผู้บริโภคอายุน้อยจำนวนมากมองว่าแบรนด์จีนเป็นนวัตกรรม

แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับคุณภาพหลายยี่ห้อมีชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและต้องการสื่อสารเรื่องนี้ให้ดีขึ้นเพื่อเปลี่ยนการรับรู้ของผู้บริโภค

.

3. การขาดการสร้างแบรนด์ – แบรนด์ที่มีขนาดเล็กกำลังเรียนรู้จากสิ่งที่ปรากฏในการจัดอันดับ 50 Brand Power

…….

ที่ความมุ่งมั่นในการลงทุนด้านการตลาดเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จและการตัดสินใจเหล่านี้จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจระดับท้องถิ่นของทั้งสองตลาด

และผู้บริโภค แบรนด์ควรเน้นที่ช่องทางสื่อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและปรับใช้แคมเปญโฆษณาที่แข็งแกร่งและมีผลกระทบมากขึ้น

brandz-china.png………

คิดถึงประเทศไทย แบรนด์ไทยนะ เราจะไปทางไหนกันดี

=========================================

ข้อมูลบางส่วนจาก

http://www.digitalstrategyconsulting.com/intelligence/2018/02/top_50_global_chinese_brands_consumer_electronics_dominate_rankings.php

อะไรคือ brand DNA

10 Thursday Jan 2019

Posted by brandchatz in บุคคล, brandDNA, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

แบรนด์, แบรนด์ดีเอ็นเอ, แบรนด์ทำเอง, แบรนด์DNA, brand, brandDNA, branding

branddna.001

ความหมายมันก็คือ ความรวมของ องค์ประกอบต่างๆที่ประกอบเป็นแบรนด์ ซึ่งหมายถึง ตัวตนที่เป็นหนึ่งเดียวของแบรนด์ๆนั้น ซึ่งเราจะเรียกว่า ตัวตนหรือ identity ก็ได้เหมือนกัน

การสร้างแบรนด์ตัวตนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลำดับในการสร้าง และปรับแต่ง ตามสถานะของความเข้าใจและการใช้งาน ได้แบบนี้

branddna.002

3 ลำดับในการสร้าง BRAND DNA

branddna.003

รูปลักษณ์ (Physical) การสร้างตัวตนซึ่งมาจากการมองเห็นจากภายนอก ได้แก่ การสร้าง Image,Packaging ต่างๆ การใช้สี การปรับชุดเสื้อผ้า ส่วนประกอบเช่น ร้าจำหน่าย  รวมถึงการท่าทีท่าทางการพูดคุยก็เป็นส่วนสำคัญ

branddna.004

กลุ่มสังคม (Social)  การสร้างความสัมพันธ์ กลุ่มที่เราจะต้องการสื่อสารด้วย เช่น คนเมือง คนท้องถื่น กลุ่มรักการขับรถ กลุ่มชื่นชอบapple  หรือกลุ่มนักวิ่ง เหล่านี้จะเป็นการสะท้อนถึงสังคมของตัวตนที่ชัดเจน การสร้าง  Brand community จึงเป็นขั้นตอนนึงของการทำให้เกิด DNA ของแบรนด์

brandDNA.005.jpeg

 

บุคลิก (Mental) การค้นหาตัวตนของเราว่าเราเป็นใคร อะไรคือสิ่งที่เป็นเรา (สามารถอ่านได้จาก brand archetype) สิ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้าง DNA

และสร้างประสบการณ์แบรนด์ต่อกลุ่มสังคมหรือกลุ่มลูกค้า เช่น Brand แบบ Jackdaniel ใช้วิธีการสื่อสารด้วยการเล่าตัวตนแบบคนใต้ทางอเมริกาที่มีประวัติศาสตร์ในการบ่มเหล้ามายาวนาน ภาพของโรงบ่ม บรรยากาศทำให้เรานั้นเชื่อในตัวตนและความคลาสสิคของ Jack daniel จนแบรนด์นี้กลายเป็นแบรนด์ที่แตกต่างออกไปจากคู่แข่งเจ้าอื่น

2 ประเด็นที่ต้องคิดถึงต่อการสร้าง Brand DNA

ที่มาที่ไปของแบรนด์ (Brand story)มีความสำคัญ

เพราะการสร้าง story ของแบรนด์มีส่วนต้องการสร้างความรู้สึก ในสมัยนี้ การย้อนกลับไปดู แบคกราวนด์ ของสินค้า หรือคนๆนั้น ทำให้คนเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น ถ้า story brand ของคุณ ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆเลย ก็เป็นไปได้ว่า ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ก็เกิดยาก

branddna.006

ราคา มีผล ต่อ DNA มั้ย

มีอย่างแน่นอน เพราะการกำหนดราคาเป็นการบอกตัวตนอย่างนึงของแบรนด์

ไม่ว่าคุณ จะวางไว้ที่ถูกหรือแพง ล้วนแต่มีนัยยะทั้งสิ้น การกำหนดราคาเริ่มต้นไม่ว่าจะ แพงไปหาถูก หรือถูกไปหาแพง

หรือแพง ไปแพงมาก เกี่ยวข้อง กับความรู้สึก และกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น

เช่น ถ้าราคาถูก คุณจะทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นมิตรมากกว่า ราคาที่แพฃที่ให้ความพิเศษ ความพรีเมี่ยม และสร้างกำแพงต่อลูกค้าคุณมากขึ้น

และบางครั้ง การทำราคาที่ถูกลง ก็อาจขะทำให้แบรนด์คุณเสียความน่าเชื่อถือไปเลย ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องของการตั้งราคาที่ดีพอ

branddna.007

การแต่งตัวเป็นส่วนหนึ่งของBrandImage 

21 Thursday Dec 2017

Posted by brandchatz in personalbrand, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

brand, brandimage, image, personalbrand

Personal brand Making.001
#การสร้างPersonalbrand

แต่งตัวแบบไหน บ่งบอกบุคลิก และที่สำคัญ
บ่งบอกถึงรสนิยมและนิสัย ไม่เกี่ยวกะแพงหรือถูก แต่ต้องแต่งตัวเป็น
การเลือกให้เหมาะกับกาละเทศะ และตัวตนของคุณ เป็นการแสดงถึงความเข้าใจและการใช้ตัวตนสื่อสารที่ถูกต้องด้วย

ความนิมจากแนว Startup look ทำให้แนวคิดการแต่งตัวแบบสบายๆเริ่มกลายเป็นมาตรฐานและวัฒนธรรมของการแต่งตัวเพื่อบอก status ธุรกิจ
มาดูการแต่งตัวแบบไหนบ้างที่คุณควรเลือก

Personal brand Making.002

1 Too Casual แบบนี้ ไม่เหมาะกับการออกมาสู่ผู้คนหรือในการทำธุรกิจเพราะคุณจะไม่ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่นักโดยส่วนใหญ่ และอาจจะส่งผลเสียด้วยซ้ำถ้าคุณทำธุรกิจที่ต้องการความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าคุณชอบและอยากจะแต่ง ใครจะห้ามคุณ!!!!

องค์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง ชายและหญิง
ใส่หมวก(กลับหลังยิ่งดี)
เสื้อยืดโชว์จั๊กกะแร้หรือเสื้อกล้าม ถ้าขาดมีรูจะใช่เลย
กางเกงขาสั้น ลากแตะ ยิ่งแตะขอบฟ้าละก็ ใช่เลย x2
ไม่ใส่ถุงเท้าสั้น ห้อยสร้อยพระ หรือสร้อยแสตนเลสใหญ่
ถ้าผู้หญิงก็อาจจะเป็นกางเกงยีนส์สั้นขาด ไม่ใส่ถุงน่อง

คุณจะเจอเขาเหล่านี้ได้จากไหนกัน?

ร้านกาแฟ
Co working space
ห้างสรรพสินค้า
ตลาดสด
ร้านสะดวกซื้อ
ร้านอาหาร

Personal brand Making.003

2.Trendy Casual ในยุคนี้ การแต่งแบบ Trendy casual กลายเป็นพิมพ์นิยมของ เด็กรุ่นใหม่และไม่ใหม่ที่ทำ startup
เพราะการแต่งตัวแบบนี้ มันบอกสัญญลักษณ์บางอย่าง
สัญญลักษณ์ของการ Anti traditional ของพวกใส่สูท ผูกไท ที่เราชินตา
และก็มีคนที่แต่งตัวแบบนี้สำเร็จในธุรกิจซะด้วยสิ

องค์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง
ชายและหญิง เสื้อยืดหรือ เสื้อมีฮูดแบบ Pullover
พวก Sweater ทั้งหลาย
กางเกงยีนส์ หรือผ้าหนา รองเท้ากีฬา
โดยเฉพาะพวกขอบขาวทั้งหลาย
นาฬิกา ถ้าจะให้ดีต้องเป็น Digital watch พวกจับเวลาและ
ใช้กับการออกกำลังกายได้ จะใช่เลย

คุณจะเจอเขาเหล่านี้ได้จากไหน?

ร้านกาแฟ
Co working Space
ตามห้าง ตึกสำนักงานที่มี Startup เกิดใหม่

Personal brand Making.004

3. Casual เริ่มเป็นที่นิยมเช่นกันในหมู่คนทำงานในสายอาชีพต่างๆโดยเฉพาะธุรกิจด้าน การตลาด สื่อ สินค้า IT หรือเริ่มลามปาม ไปถึงการบริการอย่างสายการบินเกิดใหม่ การเงินแนวใหม่ และรวมถึงประกัน ขายตรงก็มีนะ

องค์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง

ชายและหญิง เสื้อเชิ้ตแขนสั้นหรือ เสื้อมีฮูดแบบ Pullover พวก Sweater ทั้งหลายกางเกงจะต้องเป็น Slim Fit ผ้าแนวยีนส์ผสม Spandex
ผู้หญิงจะนิยมใส่ Dress สั้น แบบไปทะเล ผ้าบาง อาจจะมีเสื้อคลุมรองเท้าจะออกแนวหนัง modern มีทั้งด้านและมันวาว
นาฬิกา ถ้าจะให้ดีต้องเป็น Digital watch พวกจับเวลาและใช้กับการออกกำลังกายได้ จะใช่เลย
เครื่องประดับจะเป็นแบบออกแบบทันสมัย โนทองชิ้นใหญ่อาจจะเป็นกำไลอันใหญ่สักชิ้น

คุณจะเจอเขาเหล่านี้ได้จากไหน?

พนักงานจบใหม่ตามออฟิศต่างๆ
Co working Space
ตึกสำนักงาน
ทีมขายประกันและทีมเซลล์

Personal brand Making.005

4. Business Casual
เป็นการแต่งตัวที่นิยมกันมานาน
ก่อนหน้านี้ โดยอ้างอิงจากสไตล์การแต่งตัวแบบนักธุรกิจแบบเบาๆ ไม่เต็มยศ แต่มีคราบของคนทำธุรกิจที่ต้องมีรูปแบบ
เป็นกึ่งทางการมากขึ้น

องค์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง

ชายและหญิง เสื้อเบลเซ่อร์ แนวSport หรืออาจะเป็น Sweater
เสื้อข้างในจะเป็น polo shirt หรือเสื้อแนว Oxford แขนยาว กางเกงผ้า สีสุภาพ สีเข้ม ถ้าโทนอ่อนก็ต้องออกแนวผู้ดีอังกฤษ
รองเท้าหนังแน่นอน แบบ Calssic นิดๆ นาฬิกาต้องสายเหล็ก จะสายหนังก็ได้
แต่ต้อง Brandname เท่านั้น ถ้าผู้หญิงก็ต้องเป็นกระโปรงความยาวขนาดเข่า
รองเท้าทรงเรียบร้อย หรืออาจะแอบบู้ทสั้นได้บ้าง ใส่เครื่องประดับแบบเรียบง่าย ทอง เงินได้

คุณจะเจอเขาเหล่านี้ได้จากไหน?

พนักงานระดับผู้จัดการ รวมถึงระดับบริการรุ่นกลาง
ตามออฟิศที่ยังคงความ Traditional สายธนาคารที่มีอายุยาวนานบริษัท
Corporate ขนาดใหญ่ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ

Personal brand Making.006

5. Business Formal เป็นการแต่งตัวที่บ่งบอกระดับการทำงานและตำแหน่งของธุรกิจ
ซึ่งอยู่ในระดับบริหาร หรือระดับสูงของธุรกิจเป็นหลัก

องค์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง ชายและหญิง

ผู้ชายประกอบด้วยเสื้อสามตัว สีเข้ม หรือสีอ่อนก็ได้ ต้องผูกไท
สามารถมีลวดลายได้ เสื้อเชิ้ตแขนยาวมีปก สามารถเป็น Slimfit แต่ปลายปกเสื้อจะต้องเป็นแบบมีกระดุมปิด รวมถึงจะต้องมีกระดุมปิดข้อมือด้วย
รองเท้าหนังแบบเหมาะสม เป็นทางการ
นาฬิกาต้องสายเหล็ก Brandname
ผู้หญิงก็ต้องเป็นเสื้อมีกระดุมปกเช่นกันเป็นกางเกง กระโปรงความ พอดีตัวสีสุภาพ และสีเป็นทางการ แนว Navy Blue จะนิยมสุด
รองเท้าหนังแบบเหมาะสม เป็นทางการ
นาฬิกาต้องสายเหล็ก Brandname เช่นกันเครื่องประดับเรียบง่าย

คุณจะเจอเขาเหล่านี้ได้จากไหน?
พนักงานระดับผู้จัดการ รวมถึงระดับบริการระดับ Senior
สำนักงานของผู้บริหารระดับสูง
การประชุมบอร์ดบริหาร

Personal brand Making.007

6. Semi Formalหลายคนมักสับสนการแต่งตัวแบบ Semi Formal
และการแต่งตัวแบบ Business Formal
เพราะค่อนข้างใกล้เคียงกันเป็นการแต่งตัวที่เป็นทางการ
นิยมในสังคมในระดับสูง งานกาล่าดินเน่อร์งานที่ต้องมีความผู้ดี และให้เกียรติ ทั้งค่านิยมและประเพณีที่มีมานาน

องค์ประกอบการแต่งองค์ทรงเครื่อง

ชายและหญิงผู้ชายประกอบด้วยเสื้อสามตัว สีเข้ม Solid ไล่เฉดแบบMonocrome หรือ analogous ผูกไท สีเข้มหรือสีในแนวใกล้เคียงกัน เสื้อเชิ้ตแขนยาวมีปก คอเป็น VShape ในแบบ Spread collar หรือคอกว้างจะดูดีสุด
รองเท้าหนังแบบเหมาะสม เป็นทางการนาฬิกาต้องสายเหล็ก
ผู้หญิงก็ต้องเป็นเสื้อมีกระดุมปกเช่นกันเป็นกางเกง กระโปรงความ พอดีตัวสีสุภาพและสีเป็นทางการ แนว Navy Blue รองเท้าหนังแบบเหมาะสม เป็นทางการ
นาฬิกาต้องสายเหล็ก
เครื่องประดับชิ้นใหญ่ อลังการ

คุณจะเจอเขาเหล่านี้ได้จากไหน

พนักงานระดับผู้จัดการ รวมถึงระดับบริการระดับ Senior
งานพิธีการ
งานกาล่าดินเนอร์
สำนักงานของผู้บริหารระดับสูง
การประชุมบอร์ดบริหาร

brand และ business trend 2018

11 Monday Dec 2017

Posted by brandchatz in branding, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

2018, ธุรกิจ, แบรนด์, brand, branding, business, trend

b&B trend2018 ver2.001

Trend ของธุรกิจและแบรนด์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2018 นั้นมีหลายแง่หลายมุมครับ

ผมและทีมงาน BrandingDIY และทีม Extrasunday ได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ

รวมถึงการทำงานร่วมกับ SME จนได้ข้อสรุปที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านในปี 2018 นี้

จุดประสงค์เพื่อสะท้อนให้เห็นความเป็นไปของโลกในปี 2018 ซึ่งเรากำลังจะต้องก้าวให้ทัน

ถึงแม้ประเทศไทยจะบอกว่าเราจะเป็น 4.0 แต่อย่างที่เรารู้ๆกันว่าหลายเรื่อง เรายัง 0.4 กันอยู่เลย

ยิ่งความน่ากลัวของ Platform ecommerce ที่กำลังจะบุกมาถึง SME หลายๆเจ้า ทำให้เกิดการแข่งขัน

อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และคุณอาจจะพ่ายแพ้ก็ได้ หากเตรียมตัวไม่ทัน

นี่คือ 8 หัวข้อของ Business&Brand trend 2018

 

b&B trend2018 ver2.002

1.Vr Virtual Reality

เครื่องมือนี้กำลังจะกลายเป็นของฮิตในไม่ช้าและเมื่อเห็นข้อดี

มันคือ เครื่องมือแบรนด์ชั้นดีเลยทีเดียว

การใช้วิดีโอ 360 ฉบับที่พบมากที่สุดคือการสร้างบล็อกวิดีโอและการทัวร์ชมออนไลน์

เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเชื่อมต่อกับผู้ดูในรูปแบบบล็อกก็ได้

มันสามารถใช้ในหลายวิธีเช่นเดียวกับกล้องไปพร้อมกับคุณลักษณะการโต้ตอบเพิ่ม

นำติดตัวไปกับคุณ ทำเสมือน เดินเล่นรอบเมืองหรือการผจญภัยแบบใดก็ได้และให้ผู้ชมของคุณได้สัมผัสกับมัน

คุณสามารถทัวร์ชมสิ่งอำนวยความสะดวกของคุณและให้มุมมองด้านในแก่ธุรกิจของคุณ

และอีกไม่นาน Vr จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร

TIPS สำหรับ SME

สำหรับ SME แล้ว การทำ VR มาเล่นไม่ได้ไกลเกินจริงเลย เพราะด้วยต้นทุนราคาและวิธีการเอื้อำนวย

ให้สามารถสร้าง คอนเท้นและกิจกรรมรองรับได้อย่างดีเลยทีเดียว

b&B trend2018 ver2.003

2.Automation

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในอนาคตก็คือ การเข้ามาแทนที่ของ Robot และระบบ Automation

เราได้ยินเรื่อง Driverless มาสักพักแล้ว แต่ตอนนี้ บริษัทอย่าง Budvisor ได้เริ่มต้นใช้งาน

รถส่งของที่เป็นระบบขับอัตโนมัติเรียบร้อย ซึ่งในช่วงแรกก็ยังมีคนนั่งไปด้วย

แต่อีกไม่นาน การขับรถส่งของแบบนี้ก็จะไม่ต้องใช้คนอีกต่อไป

เช่นเดียวกับการใช้ Robot บริการในร้านอาหารที่เพิ่มมากขึ้นอย่าง burgerking

หรือระบบโรงงานที่ผลิต iphone8 และ Iphone X ในประเทศจีนที่ใช้ Robot ทั้งหมด

TIPS สำหรับ SME

เดี๋ยวนี้เทคโนโลยี่หุ่นยนต์ไม่ได้มีราคาสูงอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น บริษัท CT Robotics

ผลิตหุ่นยนต์เพื่อการใช้งานสำหรับคนแก่ในราคาเริ่มต้นเพียง หลักแสนต้นๆเท่านั้น

อุปกรณ์การใช้ Automation ต่างๆ ที่คุณสามารถใช้ในการเปิดปิด ไฟฟ้า โทรศัพท์

และเครื่องใช้ใน ออฟฟิศที่ทำงานของคุณได้

https://www.fsstechnologies.com/small-business/automation

หรือโปรแกรมอย่าง Autopilot ที่คุณสามารถสร้าง Customer jorney

ให้ลูกค้า ตั้งแต่ ตอบ Email,ตอบคำถามในเวป รวมถึง แนะนำสินค้าออนไลน์ของคุณ

ในแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่ต้องใช้คนเลยอีกต่อไป

https://autopilothq.com/#hero

b&B trend2018 ver2.004

3.Brand Experience More than Quality product

คำว่าแบรนด์ประสบการณ์เป็นคำที่ไม่ได้ใหม่เช่นเดียวกัน แต่ในปีหน้า การใช้รูปแบบของการสร้าง

ประสบการณ์เพื่อให้ผู้ซื้อเกิดความติดหนึบในแบรนด์ดูจะแนวทางขแงแบรนด์ใหญ่ที่จะเน้นหนักกันมากขึ้น

เช่น Redbull ที่ทำอยู่แล้ว Nike  สร้างการสื่อสารแบรนด์มาในแนวทางเดียวกัน

รวมไปถึง Ikea,Air BnB, และแม้กระทั่งแบรนด์ไทยทั้งหลายที่ทำแคมเปญประสบการณ์ต่างๆสุดขอบฟ้า

TIPS สำหรับ SME

จากสมัยก่อนที่ Brand มักจัดทัวร์ สร้าง Club ต่างๆขึ้นมาเพื่อรองรับในการสร้างประสบการณ์แบรนด์

ในอนาคต คุณสามารถใช้ เทคโนโลยี่ VDO และ Online Platform ต่างๆ มาสร้าง พื้นที่เสมือนจริง

และเชิญชวนให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์ของแบรนด์คุณ รวมถึงการสร้างความรู้สึกร่วมในกิจกรรมอื่นๆ

ที่ให้ประโยชน์กับผู้คน ก็จะเป็นวิธีที่ดีมาก

b&B trend2018 ver2.005

4.ร้าน Retail แบบ Cashless

การเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินมีผลอย่างยิ่ง เทคโนโลยี่ bitcoin ที่จะมาแทนเงินสด

การใช้ เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น Creditcard กำลังจะกลายเป็นสิ่งล้าสมัย

เมื่อคุณสามารถใช้ การซื้อขายโดยผ่าน แอพทางโทรศัพท์มือและการ Scan barcode

Alibaba และหลายแบรนด์เริ่มต้นร้าน Retail แบบ cashless ขึ้นแล้วในเมืองจีน

TIPS สำหรับ SME

เครื่องมือในการใช้ Cashless กำลังเข้ามาอย่างหลากหลาย ร้านที่เป็นสินค้าแนวหใม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ในการใช้อุปกรณ์เหล่านี้เพื่อสร้างความน่าสนใจและเป็นโอกาสในการวาง Positioning ของ Brand

ให้เป็น Trend setter ได้

b&B trend2018 ver2.006

5.Healthy and More than look good trend

การเสพติดการดูดีของผู้คนในปัจจุบันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนเริ่มสนใจในตัวเองมากขึ้น

Generation ใหม่ๆ เริ่มมีความคิดถึงเรื่องการดูแลสุขภาพ การออกกำลัง และการเสพติดการใช้

ยาลดความอ้วน และเครื่องมือศัลยกรรมกลายเป็นค่านิยมใหม่

ธุรกิจเสริมความงามและศัลยกรรม เป็นตลาดที่มูลค่าสูงเป็นหมื่นล้านในเมืองไทยในช่วงเวลาไม่กี่ปี

รวมถึงเทคโนโลยี่ใหม่ที่ออกมารองรับตลอดเวลา รวมถึง อุปกรณ์ Selfie ทุกประเภท

ทำให้ Trend การสร้าง Personal brand จึงมากขึ้นๆเรื่อยๆ

TIPS สำหรับ SME

กิจกรรม ก้าวเป็นตัวอย่างอันนึงที่ชัดเจนสำหรับการสนใจในเรื่องสุขภาพของคนไทย ดังนั้น

กิจกรรมที่ส่งเสริมเรื่องของ สุขภาพและการทำให้ตัวเองดูดีกำลังกลายเป็น หมายเลข 1

ของ แคมเปญการตลาดในเมืองไทยในปีหน้า

b&B trend2018 ver2.007

6.การเติบโตของ Virtual Company

ด้วยเทคโนโลยี่ที่ทำให้ลดคนลงได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น การtransfer call, Application Office ต่างๆ หรือ Chatbot

ทำให้มีการคาดการณ์ถึง บริษัทที่อาจจะไม่ต้องมีพื้นที่อยู่จริงหรือ บริการต่างๆที่ไม่ได้ใช้คนจริงๆ เลย

เช่น KLM มีบริการอย่าง Keytag Airline wearable ให้ลูกค้าติดตัวในเวลาไปเที่ยว

บริษัทฯ อย่าง Replika ใช้ Chatbot แทนพนักงานตอบโต้ทางโทรศัพท์และในเวป

Blue leaf Cafe ในญี่ปุ่น ใช้ Pop Star ดังอย่าง Hatsume Miken  ร่วมทานข้าวกับลูกค้าโดยมาเป็นแบบ AR

TIPS สำหรับ SME

การลดค่าใช้จ่ายที่ทำงานและบริการด้วยการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี่เป็นสุดยอดวิธีการสำหรับชาว SME

อยู่แล้ว ด้วยเทคโนโลยี่ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาอย่าง Chatbot หรือ app Office Controller ต่างๆ

จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อ คนทำธุรกิจต่อไปในปี 2018

b&B trend2018 ver2.008

7.ยุคของ A Commerce

ใน trendwatching.com พูดถึงการค้าในแนวใหม่ได้น่าสนใจดังนี้คือ A commerce คือ การรวมเอา E commerce + ระบบ Automate ผ่านมือถือ

คำนี้จึงเป็นนิยามค่อนข้างใหม่ แต่ว่าในการคาดการณ์ของ Trendwatching พูดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไว้ได้อย่างน่าสนใจก็คือ

เนื่องจากในปีพ. ศ. 2561 นี้หลายคนคาดการณ์กันว่า การซื้อขายบนมือถือจะทวีความดุเดือด และใครที่สามารถสร้าง Platform แห่งความง่ายและ

สร้างประสบการณ์ประทับใจได้จะเป็นผู้ชนะ ดังนั้น การที่ Amazon Dash ใช้ความคิดหลายล้านแบบกับการสั่งซื้อแบบสัมผัสเพียงครั้งเดียว

เพราะมีฐานลูกค้าหลายล้านรายกำลังตัดสินใจด้านการเงินกับบริการต่างๆอยู่แล้ว ทำให้แนวโน้มของธุรกิจที่ผนวกสองอย่างเข้าไปด้วยกัน

แบบที่เรียกว่า A commerce จะกลายเป็นการค้าขายแห่งอนาคต

TIPS สำหรับ SME

การค้าขายในโลกออนไลน์กำลังถูกเชื่อมโยงให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่การสร้าง Platform ด้วยตัวเองยังเป็นการลงทุนที่สูง สำหรับ SME ใหม่ๆ ต่อการทำงาน

ในเรื่องของ E commerce พื้นฐาน อาจจะเริ่มต้นจากการใช้ Platform ที่มีอยู่แล้ว แล้วจึงค่อยเชื่อมโยงกับ Application ไปก่อนจึงจะดีที่สุด

b&B trend2018 ver2.009

8.ยุคของ AR หรือ Augmented Reality และ Ai หรือ Artificial intelligence

เราได้ยินเรื่องของทั้งสองเทคโนโลยี่มาสักพัก แต่จะไม่มีครั้งไหรที่จะสามารถหยิบนำเอามาใช้ได้อย่างเป็นจริงเป็นจังในปีหน้าเป็นต้นไป

Ar หรือ Augmented Reality คืออะไร

เทคโนโลยีที่ผสานเอาโลกแห่งความเป็นจริงเข้ากับโลกเสมือนโดนผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ             อย่างกล้องถ่ายภาพ เข็มทิศ และ GPS จุดเริ่มต้นของ AR คือ ทีวี ผลการแข่งขันระหว่างนัด หรือ News ticker ด้านล่างจอของ CNN คือรูปแบบที่ง่ายที่สุดในการอธิบายความเป็นAugmented reality มันทำให้ข้อมูลที่ไม่สามารถอธิบายได้บนรูปภาพเกิดขึ้นในโลกจริง สิ่งสำคัญของ AR คือ ลักษณะของสมาร์ทโฟนได้เปลี่ยนการติดต่อสื่อสารครั้งใหญ่ คือ เราอ่านอีเมลระหว่างเดินทาง, ใช้เฟซบุ๊ก และ Location-based services (เช่น Foursqaure) การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์เหล่านี้ ทำให้เกิดขอบเขตใหม่ของ Augmented reality  เราไม่สามารถนำทีวี หรือพีซีไปได้ทุกที อย่างน้อยต้องเป็นอุปกรณ์ที่พกพาสะดวกอย่าง สมาร์ทโฟน ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธที่จะสนใจสิ่งรอบข้างบนโลกนี้ได้โดยผ่านุปกรณ์เหล่านี้

แล้ว AI หรือ Artificial intelligence ]jt

AI มาจากคำว่า Artificial Intelligence แปลเป็นภาษาไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์“  คือ สติปัญญาของเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวแทนของมนุษย์ที่มีความชาญฉลาดสามารถทำงานหรือใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่ามนุษย์ เกิดจากความพยายามของนักวิจัยในการศึกษาพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่จะสร้างเครื่องจักรที่มีความคิด โดยมีโจทย์ว่าจะทำอย่างไรถึงจะสร้างเชาว์ปัญญาให้คอมพิวเตอร์ได้ นอกจากนั้นยังต้องสามารถแสดงเหตุผล การเรียนรู้ การวางแผนหรือความสามารถอื่น ๆ ได้ด้วย  AI รุ่นที่เราอาจเห็นผ่านตามาบ้างก็คงเป็นหุ่นยนต์ของฮอนด้าที่รู้จักดีในด้านปัญญาประดิษฐ์

เราจะได้เห็น ทั้งสองเทคโนโลยี่ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจและการทำการสื่อสาร Brand อย่างแน่นอน

TIPS สำหรับ SME

การใช้สองเทคโนโลยี่ได้ถูกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสินค้า Consumer หลายๆทาง ตั้งแต่ รถยนต์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และทางการแพทย์  ซึ่ง SME ที่กำลังมองเทคโนโลยี่เหล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาธุรกิจต้องดูโครงสร้างและการนำมาใช้งานที่เหมาะสมเพราะยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง

แหล่งข้อมูล

http://trendwatching.com/quarterly/2017-11/5-trends-2018/

http://www.mirror.co.uk/tech/pizza-hut-hires-robot-waiters-8045172

https://m3ideas.org/2011/09/30/m3-augmented-reality-idea/

http://www.zdnet.com/article/amazon-brings-augmented-reality-feature-ar-view-to-amazon-app/

http://www.independent.co.uk/travel/news-and-advice/future-travel-airport-technology-hi-tech-chatbots-robots-augmented-reality-ai-a7961171.html

http://robohub.org/bosch-and-nvidia-partner-to-develop-ai-for-self-driving-cars/

http://www.wallpaper.ge/view-nike_basketball-1920×1200.html

มีในเวป brandingdiythailand เพิ่มเติมครับ ลองไปดูเพิ่มเติมครับb&B trend2018 ver2.001

http://brandingdiythailand.com./blog/brandtrend%202018

5 ข้อคิดของ Brand ดีอย่าง Bodyshop ทำไมถึงขายไม่ดี

06 Friday Oct 2017

Posted by brandchatz in marketing, repositioning, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

bodyshop, brand, ecofriendly, L'Oréal

Bodyshop.001

Bodyshop ถือว่าเป็น Brand ที่มีอายุยาวนานกว่า 40 ปี และเป็นแบรนด์ที่

ใช้แนวคิด แบบ Eco-Friendly เป็นเจ้าแรกๆ ของโลกและก็ได้รับการยอมรับ

รวมถึงความนิยมของแบรนด์จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก

แต่ในปัจจุบัน Bodyshop ที่ถูก Takover โดย บริษัทระดับโลก

กำลังจะถูกขายกิจการ โดยมียอดขายตกต่ำกว่า 38% ในปีที่ผ่านมา

เกิดอะไรขึ้นและ 5 ข้อคิดที่สำคัญของ Brand ดีที่ทำไมขายไม่ดี

Bodyshop1.001

 

1.การขายกิจการของ Bodyshop ให้กับ L’Oréal

ถึงแม้ L’Oréal จะประกาศเจตนารมย์และแนวทางในการทำธุรกิจว่าจะสานต่อ แนวคิดและจิตวิญญาณของ (Anna roddick)แอนนา รอดดิค ผู้ก่อตั้งที่ครั้งหนึ่งเป็นเสมือน เจ้าของแบรนด์ตัวจริงที่ใส่

แนวคิดของการทำสินค้าที่ไม่เบียดเบียนโลกและสัตว์ต่างๆ ทั้งการใช้ของที่เป็น Recycle

รวมถึงไม่ทรมานสัตว์ในการทดลองสินค้า จนทำให้แบรนด์เกิดความเลื่อมใสในหมู่นักช้อปปิ้ง

ว่าช่างเป็นแม่พระ และทำให้แบรนด์มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

แต่หลังจากการขายกิจการให้กับบริษัทระดับโลกที่ขายของแบบตลาดแมสเป็นหลัก

หลายๆคนถึงกับตราหน้า แอนนา  รอดดิค ว่า ละทิ้งอุดมการณ์และเห็นแก่เงิน ทำให้แบรนด์หมดความ

ขลังในหมู่สาวกไปมากทีเดียว

Bodyshop.003

2.การทำการตลาดแบบ L’Oréal (ลอรีอัล) นับตั้งแต่การซื้อกิจการมา ลอรีอัล อยู่กึ่งกลางระหว่าง จะพาแบรนด์ไปในแบบกลุ่มใหญ่ หรือ แมส ดี หรือจะพาไปในแนวอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งต้องยอมรับว่า ตัวลอรีอัลเองนั้น อาจจะอยากพยายามให้แบรนด์นั้นขยายธุรกิจและเติบโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่การทำกิจการการตลาดของ Bodyshop ที่ผ่านมา ไม่เคยได้ใจคนทั้งสองกลุ่มเลย ทั้งกลุ่มแมส และกลุ่มอนุรักษ์ ทำให้มีผลโดยตรงต่อแบรนด์ที่ดูไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน

Bodyshop.004

3.การเกิดของแบรนด์อื่นที่ตำแหน่งเดียวกันแต่ชัดเจนกว่า

แบรนด์อย่าง Chantecaille, and Lush ,Neal’s Yard หรือ Dr. Hauschka เป็นแบรนด์ที่มีความน่าสนใจกว่า

รวมถึงเข้าถึงง่ายกว่าและทันสมัยกว่าในหมู่ลูกค้าทำให้ แนวคิดแบบ Bodyshop  ในวันนี้ไม่ได้เก๋เท่อยู่แบรนด์เดียวเหมือนในยุคก่อนอีกต่อไป

Bodyshop.005

4.ผู้นำ Brand ไม่สามารถ ดึงศักยภาพของแบรนด์ได้เท่าที่ควร Jeremy Schwartz เป็นอดีตนักการตลาดชั้นยอดผ่านงานทั้ง ลอรีอัล โคคาโคล่า ทั้งในระดับที่ปรึกษาและระดับสูง และอีกทั้งยังเป้นคนที่สนใจกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติเป็นทั้งนักท่องโลกและปีนเขา แต่การมาอยู่ในจุดนี้ของเขา ดูเหมือนจะไม่เหมาะกับแบรนด์ที่มีลักษณะความเป็นนักอนุรักษ์นิยมแบบที่แอนนาทำไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะชื่นชอบแนวคิดของแอนนาเป็นอย่างมาก แต่การสื่อสารแบรนด์และแนวคิดในการใช้ของ recycel ในแบบของเขากลับเป็นไอเดียที่ดูไม่น่าตื่นเต้นไปซะแล้วในยุคนี้

Bodyshop.006

5.กลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าที่ล้าสมัย  ในขณะที่แบรนด์ใหม่ๆที่มาด้วยแนวคิดรักษ์โลกต่างขยับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์

และเนื่องจากกลุ่ม Gen ใหม่ๆ ที่ต้องใช้เครื่องสำอางค์ต่างมีชื่อแบรนด์รักษ์โลกอยู่ในใจกันมากมาย แต่ Bodyshop กลับกลายเป็นขยับเรื่องนี้ได้ช้ากว่าเจ้าอื่นทั้งๆที่เป็นเจ้าแรก ทำให้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

Source:

https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2017/02/23/why-is-loreal-trying-to-sell-off-natural-beauty-brand-the-body-shop/#2101509b1523

https://www.google.co.th/search?q=bodyshop+online&rlz=1C5CHFA_enTH760TH760&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwiUlIza-drWAhXJsI8KHRk3B04Q_AUICigB&biw=1267&bih=591#imgrc=buDRKj7HkdcR2M:

https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&ved=0ahUKEwjxyLjp-NrWAhUGv48KHSjBDiQQjhwIBQ&url=https%3A%2F%2Fwww.pinterest.com%2Fexplore

http://thebodyshop.co.th/th/products_cat.php?cate=4%2Flush-cosmetics%2F&psig=AOvVaw0yqGpel-e0HpX7QPZiOb2G&ust=1507343084590107

https://www.marketingoops.com/reports/fast-fact-reports/the-body-shop-failure-study/

Personal Brand อันดับ1 ของโลกฟุตบอล

23 Wednesday Aug 2017

Posted by brandchatz in ฟุตบอล, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

brand, football, personal

neymar_psg2

Personal Brand ในโลกกีฬาฟุตบอล

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครไม่พูดถึง เนย์มาร์ นักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในการซื้อขายนักเตะที่ผ่านมา

คนอะไรค่าตัวเกือบ หมื่นล้าน (8,880 ล้านบาทโดยประมาณ) เรียกว่า คนๆเดียว สามารถตั้ง

บริษัทฯจ้างคนมาทำงาน ทำธุรกิจกันเป็น 100 ปีสำหรับบางประเทศ

แต่คุณเชื่อหรือไม่ ว่าดีลนี้ แทบจะเรียกว่าคุ้มค่าตั้งแต่เริ่มต้นที่เนย์มาร์ย้ายทีมมาแล้วด้วยซ้ำ

จาก บาร์เซโลน่า สเปน ทีมที่มีมูลค่าอันดับต้นๆ ของโลก มาอยู่ที่ ปารีส แซงแชคแมงค์

ทีมชั้นนำฝรั่งเศส แต่ว่ามีมูลค่าและความนิยมยังห่างชั้นกันหลายช่วงตัว

(ใน 10 อันดับแรก ทีมปารีส อยู่อันดับ 8 เท่านั้น)

Screen Shot 2017-08-23 at 4.41.08 PM

นักวิเราะห์ว่ากันว่า ถ้าไม่นับความรวยของเจ้าของทีมชาวตะวันออกกลางที่ซื้อตัวนักฟุตบอล

ด้วยความสะใจ เหตุผลทางธุรกิจไม่น่าจะคุ้มทุน

ที่ไหนได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับตรงกันข้าม

ใช่ครับ ฟุตบอลเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนทั้งโลกไปแล้ว

แม้มันจะไปที่ฝรั่งเศส แต่ความเป็นเมืองปารีส ที่เป็นเมืองใหญ่

รวมถึงการเป็นนักเตะดังระดับโลกอย่าง เนย์มาร์ แล้ว

มันเป็นธุรกิจวัฒนธรรมที่ฝังรากมานานกว่า 100 ปี จนกลายเป็นสิ่งที่คน

ทั้งโลกเสพติดกันเรียกว่าทุกวันเลยทีเดียว

ฟุตบอลพัฒนตัวเองไปมากในเชิงธุรกิจ เพราะเป้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก

เป็นทั้งธุรกิจขาขึ้น และมีความซับซ้อน ทั้งเรื่องรูปแบบและการจัดการ

เราจึงเห็นนักธุรกิจมีฝีมือหลายคน เจ๊งกับฟุตบอลไปมากมาย

และอีกหลายประเทศ ต้องวางกฏเกณฑ์กันอย่างเข้มงวด

เฉพาะภาษีที่เก็บจากเรื่องฟุตบอล ประเทศอังกฤษที่ถือว่าลีคได้รับความนิยมสูงสุด

มีรายได้เข้าจากค่าภาษี มากกว่า 1,500 ล้านปอนด์

ยังไม่นับรายได้ในเชิงท่องเที่ยวและรวมถึง กิจการที่เกี่ยวข้องอีกนับไม่ถ้วน

กลับมาพูดถึง Personalbrand ของเนย์มาร์กันดีกว่า

เนย์มาร์ หรือ NeyMar เป็นนักเตะบราซิลที่พกพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เล็ก

เขาเป็นขุนพลหลักทีมชาติบราซิลในยุคปัจจุบัน และด้วยความสามารถที่มากกว่า

ทุกคนในทีมเขาจึงกลายเป็นจุดเด่นและ ดาราดังของทีมของทีมแซมบ้าซึ่งเป็นขวัญใจของคนที่ชอบบอลทั้งโลก

เมื่อเนย์มาร์ อยู่ใน บราซิล ชาติอันดับ 1 ของ ฟุตบอล และ บาร์เซโลน่า ทีมสโมสร ที่ถูกยกย่อง

เป็นอัันดับต้นๆ มันจึง การันตีตัว Personal brand ที่ถูกยกระดับเขาอย่างชัดเจน

เมื่อย้ายมาที่ ปารีส มันจึงกลายเป็น ตัวเนย์มาร์ที่ช่วยยกระดีบทีม ทั้งฝีเท้าและ ภาพลักษณ์ไปด้วย

และด้วยบุคลิกที่เข้าถึงง่าย ไม่ถือตัว จากจากซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆ ยิ่งทำให้ กระแสความฟีเวิอร์ยิ่งกระจายไกล

c50dc33859953db255622d9b3d7515d7

ว่ากันว่าเสื้อ 20,000 ตัว ขายหมดอย่างรวดเร็ว ทุกไซส์ เสียด้วย

Social media ทุกช่องทางของทีม เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

Personal brand ที่ Perfect แบบ เนย์มาร์จึงเป็น คำตอบที่ถูกต้องของการตลาดฟุตบอลยุคใหม่

เคสการตั้งราคาของรองเท้า ADIDAS

18 Tuesday Jul 2017

Posted by brandchatz in brand value, marketing, sport, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

adidas, brand, marketing, pricing, retail

3f78ea9debb291c40112d7d6273637d4--shoe-shop-adidas-originals.jpg

การได้ทำคลาสและมีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันทำคลาสถือเป็นบุญกุศลผมเป็นอย่างยิ่ง

และคลาสที่เพิ่งจบลงไปผมก็ได้มีโอกาสเรียนรู้จากคนเก่งท่านนึง ก็คือ

พี่ทาโร่   เลิศวัฒนรักษ์     ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจ นักเขียนหนังสือ เรื่อง มีบางอย่างที่ผิดในธุรกิจ และความเก่งของพี่เขาก็คือ การอ่านธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการดูงบการเงิน

wrong.jpg หนังสื่อพี่ทาโร่

.

พี่ทาโร่ ถ้าคุณจะสำเร็จในธุรกิจ คุณต้องดูให้เป็น เพราะไม่งั้น ปลายทาง คุณทำงานไปเหนื่อยแทบตาย อาจไม่เหลือเงินเลยก็ได้

.

จริงๆหัวข้อที่เรา Live ด้วยกัน จะเป็นเรื่องของ Pricing และก็มีตัวอย่างนึงที่มีประโยชน์

อย่างยิ่งต่อทุกท่านที่ทำธุรกิจ

มีเคสนึงเป็นของ แบรนด์ที่ชื่อว่า Adidas ซึ่งทุกคนน่าจะรู้จักกันดีเพราะเป็นแบรนด์กีฬาระดับโลก

.

หลายๆคนที่เคยซื้อรองเท้ายี่ห้อ Adidas น่าจะพอเดาๆ ราคาโดยประมาณได้นั่นก็คือ อยู่ที่

2000 กว่าบาทไปจนถึง 3xxx บาท หรืออาจะแพงกว่านั้น แต่โดยเฉลี่ยก็อยู่ราวๆนี้

.

คิดเป็นเงิน$ ก็เฉลี่ยตกประมาณ 100 เหรียญ ของราคาขายตามห้าง

.

ต้นทุนของรองเท้า(COGS) ที่ADIDAS ผลิตนั้น อยู่ที่ประมาณ ไม่เกิน 20 เหรียญซึ่ง

ผมว่าหลายคนก็รู้

.

แแต่อันนึงที่ทุกคนที่ผมไม่แน่ใจว่าจะรู้หรือไม่ว่า กำไรต่อคู่ที่ Adidas นั้นได้รับตกอยู่เพียง

2 เหรียญเท่านั้น!!!   

.

ผมถามพี่ทาโร่อยู่ซะหลายรอบ เพราะตัวเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าทำไมมันเหลือน้อยจัง

อย่างน้อยไม่เหลือสัก 5 เหรียญละ ดีกว่า 2 ตั้งเยอะ

.

พี่ทาโร่แกเล่ามาแบบนี้ครับ

การขายเข้าห้าง ซึ่งคนที่ทำธุรกิจ retail หรือขายของกะห้างจะพอเข้าใจว่า มันมีเรื่องของ

Supply chain ที่จะต้องจ่ายออก รวมถึงค่าการตลาด  และค่าอื่นๆอีกทั้งขนส่งและค่าคน

รวมถึง Brand ambassador (ซึ่งอาจจะได้เงินต่อคู่มากกว่าเจ้าของแบรนด์ด้วยซ้ำ)

.

ซึ่งหลายคนมักจะมองว่า ทำไม ห้างถึงต้องเอากำไรเยอะขนาดนั้น ไม่ยุติธรรม อันที่จริง

ธุรกิจแต่ละประเภทต่างก็มีธรรมชาติของมัน. ถ้าคุณไปทำห้างคุณก็จะพอรู้เองว่าทำไมห้างจึงต้องเอากำไรมากขนาดนั้น (เอาไว้ว่ากันวันหลัง)

.

แต่ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อก็คือ การตั้งและกำหนดราคา นั้น ต้องรู้จักลักษณะธุรกิจให้ดีและชัดเจนจึงจะมองภาพออกว่า ราคานั้น เป็นเรื่องของการรับรู้ของผู้ซื้อ มิใช่สิ่งที่เราอยากจะกำหนดเท่าไหร่ก็ได้

.

เพราะไม่งั้น Adidas คงอยากขึ้นราคาเพื่อให้ได้กำไรมากกว่า 2 เหรียญ

.

บางครั้งการตั้งราคา เพื่อเพิ่มอีกเพียง 5 เหรียญ อาจจะมีผลต่อการลดลงของยอดขาย อีก 5%

.

ซึ่งก็ไม่รู็บางที. การลดต้นทุนลง 5 เหรียญ อาจจะทำให้คุณได้กำไรมากกว่าก็เป็นได้

.

ดังนั้น. การตั้งราคาจึงเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และข้อมูลจากลูกค้าที่มากพอก่อนตัดสินจึงจะดีที่สุด

.

บางครั้ง. การตั้งราคา มันไม่ใช่เรื่องของเรา  แต่มันเป็นเรื่องของเขาที่เราจะต้องรอด

เครดิตรูป จาก

https://www.pinterest.com/jrmtexas/cars-saleens/?lp=true

กว่าจะเป็นธุรกิจพัฒนาศิลปิน

08 Saturday Jul 2017

Posted by brandchatz in brand, Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

brand, music, personalbrand

Personal brand development.001.jpeg

#ในฐานะที่ทำงานด้านขายบริการมาก่อน . #หมายถึงงานสร้างศิลปินนะ = =”

ดังนั้นสินค้าที่ขายก็คือ คนเป็นต้นทุนและเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญต่อบริษัทฯสร้างศิลปินและนักแสดง

การจะสร้างศิลปินหรือคนที่มีความสามารถพิเศษจึงต้องมีกระบวนการเส้นทางสำหรับการลงทุน ไม่อย่างนั้น จะเป็นการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นอย่างยิ่ง
การเซ็นสัญญาของศิลปินที่บอกกันว่า 3 ปี 5 ปี  คนภายนอกอาจจะมองว่า ยาวนานจริง แต่สำหรับสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาคนนั้นไม่ยาวเลย
กว่าศิลปินคนนึงจะบ่มเพาะออกมาเป็นคนที่มีความครบด้านน่าติดตาม ต้องใช้ทั้งเงิน เวลา และทีมงานมากมาย และโอกาสที่จะได้ศิลปินที่ใช่อาจจะมีเพียง 1ใน 5 หรือ 20% หรือมากน้อยขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการคัดเลือก แต่ส่วนใหญ่ก็ประมาณนี้

…….
คนที่จะถูกนำมาขัดเกลา ต้องมีพื้นฐานอยู่แล้วถึงจะสามารถนำมาฝึกต่อได้ การลงทุนในการสร้างก็มีตั้งแต่ทักษะพื้นฐานด้านดนตรี เต้น แสดง รวมถึงบุคลิก และความคิด และความสามารถเสริม
บางครั้ง เราก็ต้องดูแลไปถึงชีวิตส่วนตัว เพื่อให้เขามีสมาธิกับเรื่องเหล่านี้มากที่สุด

ไม่อยากบอก บางคนที่เคยดูแล ต้องถึงกับหาโรงเรียนให้เรียน หาบ้านให้อยู่ และอีกหลายๆอย่างที่ต้องทำ
การบริหารจัดการศิลปินเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมทุกฝ่ายจึงเป็นงานที่ใช้ศาสตร์และศิลป์ หรือใช้ทั้งตัว ใจ และเงิน ตัวเอง รวมถึง น้ำใจอีกด้วย

บางครั้งผลลัพธ์ที่ได้ ก็น่าดีใจ แต่หลายๆครั้ง ก็ไม่ต่างจากพื้น เพื่อปูทางให้เขาไปต่อ
ไปได้แล้ว ได้สิ่งที่ได้ ก็จบกัน จากกันไป
กลับมาที่เรื่องเส้นทางการพัฒนาคนดีกว่า

คนหนึ่งคนที่มีความพร้อมอยู่แล้ว แทบจะหาได้น้อยมาก
แบบอย่างที่เราเห็นที่โด่งดังนั่นแสดงว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เช่น พี่เบิร์ด ลุลา ปาล์มมี่ คนเหล่านี้ให้มีเพียง 1ในล้าน
น้อยไปนะ

คือมีทั้งทักษะพิเศษ ความพยายาม ความรับผิดชอบ ความทะเยอทะยาน และความอยากสำเร็จ

หลายคนมีทุกข้อ ยกเว้นข้อสุดท้าย คืออยากสำเร็จ เพราะใจไม่กล้าคิด กลัวผิดหวัง
เมื่อไม่กล้าคิด กลัว ก็มักไม่ได้
ผมเคยเจอหลายคนที่น่าเสียดายมาก ร้องก็เก่ง หน้าก็ดี การศึกษาก็ได้ แต่กลับกลายเป็นถูกสอนมาไม่ให้มีความอยาก เหมือนมาแล้วก็ไม่รู้จะทำดีหรือไม่
สุดท้ายก็ต้องไปทำอย่างอื่น เพราะความทะเยอทะยานไม่พอ

การใช้เวลาต่อการสร้าง เช่น เรื่องทักษะการเต้น แสดง จะต้องฝึกเป็นปี เพื่อให้จำนวนชั่วโมงสะสมมากพอเพื่อให้เข้าไปในกระดูก ให้เบิร์น

กว่าจะทำได้ ก็ต้องมีหลัก มากกกว่า 50-100 ชั่วโมง
ค่าเรียนอย่างต่ำ ชั่วโมงละ 1,000 ก็เอา 100 ชม. คูณ
แล้วไม่ได้เรียนแค่อย่างเดียว เพียบ

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่อศิลปินในการพัฒนา จึงเป็นหลักหลายแสนถึงเป็นล้านบาทสำหรับบางคนไม่นับค่าเสริมสวยและศัลยกรรม
ผู้ชายสมัยนี้ก็ฉีดโบนะจ๊ะ

กว่าจะมาคิดราคาเพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจจึงเป็นงานระดับมหภาค ใช้เวลาอย่างน้อย 3ปี ถึงจะเริ่มมีกำไรบ้าง ปรากฏว่าเข้าปีที่3 หมดสัญญาซะงั้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มาว่า ทำไมศิลปินจึงต้องเซ็นสัญญาห้าปี
ไว้จะมาเล่าต่อ

Brand Archetype ที่ช่วยในการสร้างตัวตน

19 Friday May 2017

Posted by brandchatz in Uncategorized

≈ Leave a comment

Tags

archetype, brand, DNA

Archetype.001.jpeg

คุณอาจจะอยากหา DNA ของคุณให้ชัดเจนและแตกต่าง

Brand Archetype เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยคุณสร้างจุดเด่นของแบรนด์ หรือหา DNA หรือตัวตนให้แตกต่างได้ครับจุดเริ่มต้นจากนักจิตวิทยาชื่อ Carl jung ที่เก็บข้อมูลเรื่องของความแตกต่างของมนุษย์และสร้างแนวคิดในเรื่องลักษณะเด่นของคนแบบต่างๆไว้ 12 ประเภท ได้อย่างน่าสนใจ

การใช้ Brand Arcetypeจึงถูกไปประยุกต์กะหลายๆธุรกิจ

ที่ได้นำเอาแนวแบบนี้มาใช้ ให้เกิดแบรนด์ที่ไม่เหมือนใคร

โดยเฉพาะด้านการสื่อสารและการตลาด

คุณสามารถนำไปประยุกต์กับสินค้าและบุคคล บริการให้เกิดความแตกต่างได้เลย

โดยใช้เครื่องมือที่ผมว่านี่ละครับ

สังเกตุจากแรงจูงใจและความเป็นตัวตนของ แบรนด์ น่าจะช่วยให้เข้าใจได้มากขึ้น

4 ประเภทของ Brand Archetype

1.ประเภท Freedom

–บุคลิกOutlaw กฏมีไว้แหก คือ voice ของแบรนด์เหล่านี้ เ็น สายดุ สายเรียกร้องความท้าทาย และสั่นคลอนกฏประเพณีต้องบุคลิกนี้นะครับ เรียกว่าสายล่อฟ้า ไม่กลัวฝน ชอบตั้งคำถามกับแบรนด์ของเดิมๆ และมีความเป็นกบฏด้วย brand เหล่านี้ คือ Harley,Paypal,Levi, Deisel

Explorer ทุกอย่างคือ ปสก,แบรนด์เหล่านี้ต้องการการออกไปท้าทายโลก ไม่กลัวผิด  เพราะอย่างที่บอก ทุกอย่างคือ ปสก จริงๆ

แบรนด์แบบ Richard Branson จึงกลายเป็นต้นแบบ นั่นก็คือ Virgin รวมไปถึงแบรนด์ที่ชอบเป้น Outdoor ทั้งหลายสายนี้บอกแล้วครับชอบผจญภัย

Jester โลกนี้คือความสนุก นั่นคือ voice ของเขา เขาจึงอยากให้ คนในโลกนี้ สนุก !!!! แบรนด์สินค้าประเภทนี้เลยดูเหมาะกับพวก สายปาร์ตี้หน่อย พวก Bav พวก เครื่องดื่ม อย่าง Fanta,Beer Singha,Beer หลายๆยี่ห้อ,แต่ Johny walker ไม่ใช่นะครับ ,อย่างชอคโกแลต M&M นีก็ใช่ครับ หรือแม้แต่อย่าง  Ben jerry

  1. Social

Lover เย้ายวนและมีเสน่ห์  Voice ของเขาเน้นเรื่องความเป็นแบรนด์ที่เตะตาให้กับเพศตรงข้าม

แบรนด์ที่เป็น Type แบบ Lover ต้องการให้คนรัก คนชอบ และหลงไหล โดยเฉพาะพวก Brand Fashion อย่าง Cucci,Victoria secret,Axe

Caregiver ใครไม่แคร์ แต่ฉันแคร์ แบรนด์Type ตัวแม่เรื่องความห่วงใย แบบรนด์ Style นี้ Soft ๆ ใสๆ และเป็นลักษณะที่ทำให้เรารู้สึก อบอุ่น อย่างเช่น แบรนด์ นมตราหมี รถยนต์ Volvo หรือ อย่าง Johnson and Johnson

Regular ฉันเป็นเพือนกับคนทุกคน เป็น Voice ของแบรนด์แบบ Regular ที่ทำให้รู้สึกว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ

แบรนด์ประกันภัย ก็มีบุคลิกแบบนี้ หรืออย่างเวื้อผ้า Muji Uniqloและ Kitkat

3.Ordor

Innocent ฉันคือผู้บริสุทธฺ์ เป็นVoice ที่แบรนด์เหล่านี้ต้องการบอกความเป็นตัวตนแบบซื่อใส น่ารัก และแบรนด์ลักษณะนี้จะกังวลมากถ้าให้เขาไปทำผิดกฏอะไรก็ตาม ดังนั้น ถ้านึกถึงแบรนด์แบบนี้ก็ขอให้นึกถึงอย่าง Coke Macdonald หรือ Dove จะเป็นตย ที่ดีที่สุด

The ruler ฉันคือผู้นำที่น่าเชื่อถือ  บุคลิกแบบ Ruler นั่น ขรึม เอาจริง จัดการ และเป็นผู้นำ เราจะนึกถึง แบรนด์อย่างรถ BMV Mecedez หรืออย่างพวก Citi bank และพวก British airway สายนึ่ง แอบเก๊กหน่อยๆ ก็น่าจะได้นะ

The Sage  ความรู้คือทรัพย์สิน คือ Voice ของ Sage เป็นแนวเนิร์ด แสดงความรู้ ความคิดตลอดเวลา อจจะมีแว่นตา และหนังสือเคียงข้าง จริงๆ วงร๊อค แบบ Bodyslam แนวคิดถึงขีวิตก็ใช่ หรือรถอย่าง Audi นี่มาเลย รวมถึง สายข่าว CNN และ national geography

4.Ego

Creator โลกยังต้องการสิ่งใหม่เสมอ คือ Voice ของ Brand ที่โคตรแซ่บ สร้างสรรค์ เปรี้ยวๆ โชว์ของเกิดใหม่ เวลาคำพูดที่ใช้กะแบรนด์นี้ เราอาจจะพูดว่า คิดได้ไงเนี่ย ทำได้ไง เรานึกถึง Apple Sony Lego Hollywood นี่ก็ใช่นะ

สังเกตุอีกอย่างคือ แบรนด์พวกนี้มักจะเว้นให้เราได้สร้างสรรค์ได้ด้วย

The Hero ฉันต้องเป็นผู้ชนะ คือ Voice ของแบรนด์นี้ เรามักจะนึกถึง การแข่งขัน เลือดสูบฉีด ความภูมิใจ เลือดนักสู้ แบรนด์แบบกีฬา อย่าง Nike Adidas หรือแม้แต่ Duracell น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี หรือแม้แต่ทีมอย่าง Manu ก็ใช่ครับ

The Magician ฉันจะเนรมิตให้เกิดขึ้นจริง  แบรนด์บุคลิกแบบนี้ มักจะมีลับลมคมนัย หรือทำสิ่งแบบเหลือเชื่อได้ เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น คลีนิค ศัลยกรรม  รถยนต์ Tesla หรือ Walt disney ก็ใช่นะ

ทีนี้เวลาจะนำไปใช้ ลองนึกถึงตัวคุณนะครับว่าน่าจะตกอยู่ใน Archetype ไหน

ถ้าไม่แน่ใจ ลองไปทำ Test ใน http://www.brandingdiythailand.com ก่อนก็ได้นะครับ ช่วยได้ประมาณนึงเลยในการหาตัวตนของคุณ

หลังจากได้แล้วค่อยมาคิดเรื่องการสื่อสารแบบเจ๋งๆกัน

แค่เปลี่ยน Archetype แค่นั้น แบรนด์เปลี่ยน โลกเปลี่ยนครับ !!!!

← Older posts

Articles

blogger

  • brandchatz
March 2021
M T W T F S S
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031  
« May    

Goodreads

Blog at WordPress.com.